พบผลลัพธ์ทั้งหมด 461 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3676/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองแทนโจทก์-สิทธิในที่ดิน: การยึดครองโดยอาศัยสิทธิในสัญญาจะซื้อจะขายไม่ทำให้ได้สิทธิในที่ดิน
จำเลยมิได้อ้างสัญญา ซื้อขายเอกสารหมายล.1ขึ้นให้การต่อสู้กลับอ้างความเป็นเจ้าของ สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามหนังสือสัญญามัดจำเอกสารหมายจ.6หรือล.11แสดงว่าโจทก์จำเลยยกเลิกสัญญาซื้อขายเอกสารหมายล.1แล้วเพราะมีการตกลงราคาที่ดินพิพาทกันใหม่โจทก์กับจำเลยย่อมผูกพันตาม ข้อตกลงในเอกสารหมายจ.6หรือล.11 โจทก์จำเลยทำสัญญา มัดจำจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก่อนในระหว่างที่ยังไม่ได้หนังสือ น.ส.3 จากทางราชการฟังไม่ได้ว่าโจทก์ สละการครอบครองให้แก่จำเลยแล้วการที่จำเลย ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเป็นการยึดถือ ครอบครองแทนโจทก์แม้นานเท่าไรก็ไม่ได้สิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3659/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ว่าจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้าง: การพิสูจน์ความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง และขอบเขตความรับผิด
บ. ลูกจ้างของจำเลยร่วมที่1ให้จำเลยที่1ทำงานแทนเมื่อจำเลยที่1ขับรถบรรทุกซึ่งอยู่ในระหว่างส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าของจำเลยร่วมที่1ด้วยความประมาทเลินเล่อชนโรงภาพยนตร์ของโจทก์เสียหายการละเมิดนี้ย่อมนับว่าอยู่ในกรอบแห่งการที่จำเลยร่วมที่1จ้างจำเลยร่วมที่1จะอ้างว่า บ. มิใช่ลูกจ้างและจำเลยที่1บุตร บ. เป็นผู้กระทำละเมิดเพื่อให้ตนพ้นความรับผิดหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3659/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ว่าจ้างต่อการกระทำละเมิดของตัวแทน
บ. ลูกจ้างของจำเลยร่วมที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ทำงานแทนเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกซึ่งอยู่ในระหว่างส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าของจำเลยร่วมที่ 1 ด้วยความประมาทเลินเล่อชนโรงภาพยนตร์ของโจทก์เสียหาย การละเมิดนี้ย่อมนับว่าอยู่ในกรอบแห่งการที่จำเลยร่วมที่ 1 จ้าง จำเลยร่วมที่ 1 จะอ้างว่าบ. มิใช่ลูกจ้างและจำเลยที่ 1 บุตร บ. เป็นผู้กระทำละเมิด เพื่อให้ตนพ้นความรับผิดหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้โดยชอบ แม้ต่างจากตกลงวิธีชำระเดิม
การที่คู่ความตกลงกันให้จำเลยชำระค่าเช่าโดยนำเงินค่าเช่าเข้าบัญชีเงินฝากประจำของ ว. สามีโจทก์ เป็นวิธีการชำระหนี้เพื่อความสะดวกของโจทก์และจำเลย แต่เมื่อจำเลยนำค่าเช่าไปขอชำระให้โจทก์ที่บ้านของโจทก์โดยตรงภายในเวลาที่กำหนดไว้ ถือว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้วโจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้หาได้ไม่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ไม่อาจจะดำเนินการขอบังคับคดีแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ค่าเช่า: การปฏิบัติตามสัญญาโดยชอบ แม้ไม่ตรงตามวิธีการที่ตกลงกัน
ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยคู่ความตกลงกันให้จำเลยชำระค่าเช่าโดยนำเงินค่าเช่าเข้าบัญชีเงินฝากประจำของ ว. สามีโจทก์ที่ธนาคารซึ่งเป็นวิธีการชำระหนี้เพื่อความสะดวกของโจทก์และจำเลยเมื่อจำเลยนำค่าเช่าไปขอชำระให้โจทก์ที่บ้านของโจทก์โดยตรงภายในเวลาที่กำหนดไว้ ถือว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว โจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้หาได้ไม่ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดโจทก์ไม่อาจขอบังคับคดีแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอม การปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบ แม้ไม่ตรงตามวิธีการที่ตกลงกันไว้ ไม่ถือเป็นผิดนัด
ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยคู่ความตกลงกันให้จำเลยชำระค่าเช่าโดยนำเงินค่าเช่าเข้าบัญชีเงินฝากประจำของว. สามีโจทก์ที่ธนาคารซึ่งเป็นวิธีการชำระหนี้เพื่อความสะดวกของโจทก์และจำเลยเมื่อจำเลยนำค่าเช่าไปขอชำระให้โจทก์ที่บ้านของโจทก์โดยตรงภายในเวลาที่กำหนดไว้ถือว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้วโจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้หาได้ไม่ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดโจทก์ไม่อาจขอบังคับคดีแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3495/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง: ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท และการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งโอนขายให้แก่จำเลยที่ 5 และขอให้จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย การขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 5 นั้น มีผลให้โจทก์บังคับให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาเป็นของโจทก์ จึงเท่ากับเรียกร้องที่ดินนั้นมาจากจำเลยที่ 5 และให้โอนมาเป็นของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย แม้จะเป็นการขอให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 5 ก็ตาม แต่ผลแห่งการเพิกถอนนี้เป็นเหตุให้โจทก์ได้มาซึ่งที่ดิน-พิพาทในที่สุด จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เท่ากับราคาที่ดินที่ขอให้บังคับโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ ที่ดินพิพาทมีราคา 160,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำสัญญา-จะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 160,000 บาท ในขณะที่จำเลยดังกล่าวเป็นผู้เยาว์โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำนิติกรรมแทนโดยขออนุญาตทำนิติกรรมต่อศาลคดี-เด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับเงินค่าขายที่ดิน160,000 บาท จากโจทก์แล้ว จำเลยทั้งห้าฎีกาโต้เถียงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังแตกต่างกับที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังเป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำสัญญา-จะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 160,000 บาท ในขณะที่จำเลยดังกล่าวเป็นผู้เยาว์โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำนิติกรรมแทนโดยขออนุญาตทำนิติกรรมต่อศาลคดี-เด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับเงินค่าขายที่ดิน160,000 บาท จากโจทก์แล้ว จำเลยทั้งห้าฎีกาโต้เถียงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังแตกต่างกับที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังเป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีฟ้องแย้งเดิมอยู่ระหว่างพิจารณา ห้ามฟ้องคดีใหม่ถึงแม้จะถอนอุทธรณ์แล้ว
เดิมจำเลยที่1ในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการฐานผิดสัญญาและเรียกค่าสินค้าโจทก์ให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่1ผิดสัญญาขอให้บังคับจำเลยที่1ใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งโจทก์อุทธรณ์คำสั่งคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์มาฟ้องจำเลยที่1เป็นคดีนี้และต่อมาโจทก์จึงขอถอนอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้งเมื่อฟ้องแย้งในคดีเดิมของโจทก์เป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้และโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเดิมมีฐานะเป็นโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งในคดีเดิมด้วยการที่คดีเดิมอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ฟ้องจำเลยที่1คดีนี้จึงซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีของศาลจังหวัดสมุทรปราการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173แม้ต่อมาโจทก์ได้ถอนอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้งแล้วก็หาทำให้ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในขณะยื่นฟ้องมาแต่ต้นกลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีเดิมอยู่ระหว่างพิจารณา ห้ามฟ้องคดีเดียวกันซ้ำ แม้ถอนอุทธรณ์แล้วก็ไม่ช่วย
คดีเดิมโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยได้ฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง โจทก์อุทธรณ์คำสั่งคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับฟ้องแย้งคดีเดิมและต่อมาโจทก์ถอนอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงซ้อนกับฟ้องแย้งในคดีเดิมต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง แม้ต่อมาจะปรากฏว่าโจทก์ได้ถอนอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้งแล้วก็หาทำให้ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในขณะยื่นคำฟ้องมาแต่ต้นกลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องพิสูจน์ความผิดซ้ำของลูกจ้างหลังการเตือน หากพิสูจน์ไม่ได้ ศาลแรงงานพิพากษาให้จ่ายค่าชดเชยและค่าสินจ้าง
จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยคำสั่งของจำเลยเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยมีสิทธิที่จะบอกเลิกการจ้างต่อโจทก์ได้ซึ่งจำเลยก็ได้บอกกล่าวต่อโจทก์เป็นหนังสือแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในเงินค่าชดเชยและค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าต่อโจทก์นั้นคดีนี้ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคำสั่งเลิกจ้างไม่ได้ระบุว่าโจทก์กระทำผิดซ้ำคำเตือนเรื่องใดและจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าหลังจากมีหนังสือเตือนแล้วโจทก์ยังได้กระทำผิดซ้ำในเรื่องที่มีหนังสือเตือนอีกข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยซึ่งได้เตือนเป็นหนังสือแล้วและฟังไม่ได้ว่าโจทก์จงใจขัดคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณดังนี้เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยคงกล่าวอ้างเพียงว่าโจทก์ได้ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยโดยไม่ได้คัดค้านว่าคำวินิจฉัยของศาลแรงงานที่ว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดซ้ำในเรื่องที่มีหนังสือเตือนแล้วและโจทก์ไม่ได้จงใจขัดคำสั่งของจำเลยหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้โจทก์อย่างไรหรือไม่อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31