คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมภพ โชติกวณิชย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 461 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลระงับหนี้เดิมและสิทธิใหม่ตามสัญญา
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ให้โจทก์จากมูลหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เงินโดยวิธีขายลดเช็ค ต่อมา ว.ซึ่งเป็นจำเลยที่ 4 ในคดีนั้นได้ทำหนังสือรับใช้หนี้ในหนี้ทุกประเภทของจำเลยที่ 1 ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยโดย ว.ยอมรับภาระเป็นลูกหนี้ชำระหนี้รายนี้แทนจำเลยที่ 1 นอกเหนือจากความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน และโจทก์ยินยอมให้ ว.ชำระหนี้ในวันทำสัญญาเท่ากับหนี้ที่ ว.เป็นผู้ค้ำประกัน ส่วนที่เหลือยอมให้ ว.ออกเช็คล่วงหน้าผ่อนชำระหนี้6 งวด โดยโจทก์ให้ความเชื่อถือ ว. และยอมคืนโฉนดที่ดินที่ ว. จำนองเป็นประกันหนี้จำเลยที่ 1 ให้ไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองด้วย โจทก์จะเรียกดอกเบี้ยต่อเมื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ในอัตราร้อยละ 20 ต่อปี ตามสัญญารับใช้หนี้ข้อ 3 เท่านั้น เป็นการที่โจทก์และ ว. ทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้เดิมให้เสร็จสิ้นไป ด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 เป็นผลทำให้มูลหนี้เดิมซึ่งมีอยู่ระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความตามป.พ.พ. มาตรา 852 โจทก์จะมาฟ้องจำเลยทั้งสามในมูลหนี้เดิมที่ระงับสิ้นไปแล้วหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญารับใช้หนี้และการระงับหนี้เดิมด้วยสัญญาประนีประนอมยอมความ
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ให้โจทก์จากมูลหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เงินโดยวิธีขายลดเช็คต่อมา ว.ซึ่งเป็นจำเลยที่4ในคดีนั้นได้ทำหนังสือรับใช้หนี้ในหนี้ทุกประเภทของจำเลยที่1ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยโดย ว.ยอมรับภาระเป็นลูกหนี้ชำระหนี้รายนี้แทนจำเลยที่1นอกเหนือจากความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันและโจทก์ยินยอมให้ ว. ชำระหนี้ในวันทำสัญญาเท่ากับหนี้ที่ ว. เป็นผู้ค้ำประกันส่วนที่เหลือยอมให้ ว.ออกเช็คล่วงหน้าผ่อนชำระหนี้6งวดโดยโจทก์ให้ความเชื่อถือ ว.และยอมคืนโฉนดที่ดินที่ ว. จำนองเป็นประกันหนี้จำเลยที่1ให้ไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองด้วยโจทก์จะเรียกดอกเบี้ยต่อเมื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ในอัตราร้อยละ20ต่อปีตามสัญญารับใช้หนี้ข้อ3เท่านั้นเป็นการที่โจทก์และ ว. ทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้เดิมให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850เป็นผลทำให้มูลหนี้เดิมซึ่งมีอยู่ระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา852โจทก์จะมาฟ้องจำเลยทั้งสามในมูลหนี้เดิมที่ระงับสิ้นไปแล้วหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ vs. ประเด็นใหม่: ค่าเสียหายจากสินค้าสูญหายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
จำเลยทั้งหกเคยฟ้องฟ้องเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินจำนวนอื่นจากโจทก์แม้โจทก์จะให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดเพราะโจทก์เลิกจ้างจำเลยทั้งหกเนื่องจากจำเลยทั้งหกกระทำผิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินจ้างของโจทก์สูญหายไปประเด็นต้องวินิจฉัยในคดีก่อนก็มีเพียงว่าจำเลยทั้งหกฟ้องเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินจำนวนอื่นได้เพียงใดหรือไม่ไม่มีประเด็นว่าจำเลยทั้งหกต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปให้โจทก์เพียงใดหรือไม่การที่โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งหกโดยกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งหกได้กระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ คดีก่อนศาลมีคำ พิพากษาถึงที่สุดว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยทั้งหกโดยจำเลยทั้งหกไม่ได้กระทำผิดจำเลยทั้งหกไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปดังที่โจทก์ให้การต่อสู้คดีในคดีก่อน คำพิพากษาดังกล่าวย่อม ผูกพันโจทก์ โจทก์จึงมาฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งหกโดยอ้างว่าจำเลยทั้งหกกระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าเสียหายซ้ำซ้อน ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลแรงงานกลาง เนื่องจากข้อเท็จจริงในคดีก่อนผูกพันโจทก์
คดีก่อนจำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินจำนวนอื่นจากโจทก์ในคดีนี้กล่าวอ้างว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยโดยจำเลยไม่ได้กระทำผิดแม้โจทก์จะให้การต่อสู้คดีในคดีนั้นว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยเพราะโจทก์เลิกจ้างจำเลยเนื่องจากจำเลยกระทำผิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์หายไป5,621,315.14บาทประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนก็มีเพียงว่าจำเลยฟ้องเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินจำนวนอื่นจากโจทก์ได้ดังฟ้องของจำเลยเพียงใดหรือไม่แต่ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนว่าจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปให้โจทก์เพียงใดหรือไม่การที่โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในคดีนี้โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งหกได้กระทำละเมิดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไป5,621,315.14บาทคดีนี้จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งหกได้กระทำละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ดังฟ้องโจทก์เพียงใดหรือไม่ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนคดีนี้จึง ไม่เป็น ฟ้องซ้ำกับคดีก่อนแต่เนื่องจากในคดีก่อนได้มีคำพิพากษาของศาลฎีกาอันถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์ในคดีนี้ได้เลิกจ้างจำเลยในคดีนี้โดยจำเลยไม่ได้กระทำความผิดจำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปดังที่โจทก์ให้การต่อสู้คดีในคดีก่อนคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ในคดีนี้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปโจทก์จึงกลับมาฟ้องคดีนี้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าโจทก์สูญหายไปไม่ได้ทั้งนี้ตามนัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคแรกประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีซ้ำ vs. ประเด็นผูกพัน: ศาลพิจารณาประเด็นละเมิดซ้ำจากคดีเดิมที่พิพากษาถึงที่สุดแล้ว โดยคำพิพากษาเดิมผูกพันโจทก์
คดีก่อน จำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินจำนวนอื่นจากโจทก์ในคดีนี้ กล่าวอ้างว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยโดยจำเลยไม่ได้กระทำผิด แม้โจทก์จะให้การต่อสู้คดีในคดีนั้นว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยเพราะโจทก์เลิกจ้างจำเลยเนื่องจากจำเลยกระทำผิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์หายไป5,621,315.14 บาท ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนก็มีเพียงว่าจำเลยฟ้องเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และเงินจำนวนอื่นจากโจทก์ได้ดังฟ้องของจำเลยเพียงใดหรือไม่ แต่ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนว่าจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปให้โจทก์เพียงใดหรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในคดีนี้ โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งหกได้กระทำละเมิดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไป 5,621,315.14 บาท คดีนี้จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งหกได้กระทำละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ดังฟ้องโจทก์เพียงใดหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีก่อน คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน แต่เนื่องจากในคดีก่อนได้มีคำพิพากษาของศาลฎีกาอันถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์ในคดีนี้ได้เลิกจ้างจำเลยในคดีนี้โดยจำเลยไม่ได้กระทำความผิด จำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปดังที่โจทก์ให้การต่อสู้คดีในคดีก่อนคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ในคดีนี้ว่า จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไป โจทก์จึงกลับมาฟ้องคดีนี้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้สินค้าโจทก์สูญหายไปไม่ได้ ทั้งนี้ ตามนัยบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคแรก ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงาน-และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: คดีก่อนพิพาทเรื่องค่าชดเชย คดีหลังเรียกค่าเสียหายจากละเมิด แม้ประเด็นต่างกัน แต่คำพิพากษาคดีก่อนผูกพัน
คดีก่อนจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนฟ้องเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินจำนวนอื่นจากโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนอ้างว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยโดยจำเลยไม่ได้กระทำผิดแม้โจทก์จะให้การต่อสู้คดีในคดีนั้นว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยเพราะโจทก์เลิกจ้างจำเลยเนื่องจากจำเลยกระทำผิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนก็มีเพียงว่าจำเลยฟ้องเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินจำนวนอื่นจากโจทก์ได้เพียงใดหรือไม่แต่ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนว่าจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปให้โจทก์เพียงใดหรือไม่การที่โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในคดีนี้โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปคดีนี้จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เพียงใดหรือไม่ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ เมื่อคดีก่อนได้มีคำพิพากษาของศาลฎีกาอันถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์ในคดีนี้ได้เลิกจ้างจำเลยในคดีนี้โดยจำเลยไม่ได้กระทำผิดจำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปตามที่โจทก์ให้การต่อสู้คดีในคดีก่อนคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ในคดีนี้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปโจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคแรกประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง เนื่องจากจำนวนทุนทรัพย์เกินกำหนด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด142,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเกินไปกว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ทั้งสองฎีกาขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 283,218 บาท (คิดถึงวันฟ้อง) แก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จึงเป็นคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ทั้งสองฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นว่า ลูกจ้างของโจทก์ทั้งสองมิได้ขับรถโดยประมาท หากแต่ลูกจ้างของจำเลยขับรถโดยประมาทฝ่ายเดียวเป็นเหตุให้รถชนกัน เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: จำนวนทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท และการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด142,900บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเกินไปกว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองฎีกาขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย283,218บาท(คิดถึงวันฟ้อง)แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่9สิงหาคม2531เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจึงเป็นคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งสองฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสองฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นว่าลูกจ้างของโจทก์ทั้งสองมิได้ขับรถโดยประมาทหากแต่ลูกจ้างของจำเลยขับรถโดยประมาทฝ่ายเดียวเป็นเหตุให้รถชนกันเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 29/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกัน: เงื่อนไขการบอกเลิกและการรับผิดชอบของผู้ค้ำประกันเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นก่อนบอกเลิก
แม้การค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่2จะเป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้ซึ่งผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา699วรรคหนึ่งก็ตามแต่ตามสัญญาค้ำประกันมีเงื่อนไขว่าผู้ค้ำประกันจะไม่บอกเลิกสัญญานี้จนกว่าจะมีบุคคลหรือทรัพย์สินมาประกันให้เป็นที่พอใจของโจทก์จำเลยที่2ทำหนังสือบอกเลิกการค้ำประกันไปยังโจทก์โดยไม่มีบุคคลหรือทรัพย์สินมาประกันให้เป็นที่พอใจของโจทก์เงื่อนไขข้อตกลงยังไม่เสร็จสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่2ทำไว้ต่อโจทก์จึงไม่ระงับสิ้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: โอนสิทธิได้เพียงเท่าที่ผู้โอนมีสิทธิ แม้มีสัญญาซื้อขาย
บ. ครอบครองที่พิพาทแทน ส. การที่โจทก์ซื้อที่พิพาทจาก บ. ไม่ทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองเพราะโจทก์ผู้รับโอนย่อมได้สิทธิไปเพียงเท่าที่ บ. มีอยู่ในฐานะผู้ยึดถือที่พิพาทแทน ส.เท่านั้น
of 47