คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมภพ โชติกวณิชย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 461 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6475/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสามารถของโจทก์ร่วมผู้เยาว์และการแก้ไขข้อบกพร่องในกระบวนการยุติธรรมอาญา
ผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งยังเป็นผู้เยาว์จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต้องกระทำโดยผู้แทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 3,5 และ 6 การที่ผู้เสียหายซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยลงชื่อแต่งตั้งทนายความด้วยตนเองแต่ลำพังเพื่อให้ทนายความดำเนินกระบวนพิจารณานั้น มิได้เป็นไปตามบทบังคับอันว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย แต่ศาลจะยกคำร้องหรือไม่รับพิจารณาเสียทีเดียวยังไม่ได้ ชอบที่จะสั่งให้แก้ไขความบกพร่องเสียก่อนตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 56 วรรคสี่ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 6 และ 15 เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เยาว์มิได้เป็นผู้ฎีกาขึ้นมาและคดีไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์หรือไม่เปลี่ยนแปลงไป และเมื่อนับอายุของโจทก์ร่วมในขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ร่วมมีอายุเกินกว่า 20 ปี บรรลุนิติภาวะแล้วจึงไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องสั่งให้แก้ไขในข้อบกพร่องเรื่องความสามารถของโจทก์ร่วมอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6475/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสามารถของโจทก์ร่วมผู้เยาว์และการแก้ไขข้อบกพร่องในการดำเนินคดีอาญา
ผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งยังเป็นผู้เยาว์จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต้องกระทำโดยผู้แทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 3, 5 และ 6การที่ผู้เสียหายซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยลงชื่อแต่งตั้งทนายความด้วยตนเองแต่ลำพังเพื่อให้ทนายความดำเนินกระบวนพิจารณานั้น มิได้เป็นไปตามบทบังคับอันว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย แต่ศาลจะยกคำร้องหรือไม่รับพิจารณาเสียทีเดียวยังไม่ได้ ชอบที่จะสั่งให้เแก้ไขความบกพร่องเสียก่อนตามนัยแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 56 วรรคสี่ ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 6และ 15
เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เยาว์มิได้เป็นผู้ฎีกาขึ้นมา และคดีไม่อาจทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์หรือไม่เปลี่ยนแปลงไป และเมื่อนับอายุของโจทก์ร่วมในขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ร่วมมีอายุเกินกว่า 20 ปี บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นและไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องสั่งให้แก้ไขในข้อบกพร่องเรื่องความสามารถของโจทก์ร่วมอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6322/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลาอุทธรณ์ต้องยื่นก่อนสิ้นกำหนดเวลายกเว้นเหตุสุดวิสัย คำร้องล่าช้าแม้มีเหตุผลก็ไม่อาจรับพิจารณาได้
อำนาจศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 26,31เป็นอำนาจต่อเนื่องหลังจากที่คู่ความมีคำร้องขยายระยะเวลายื่นขอมาโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 26,31 ก่อนแล้ว กล่าวคือศาลจะมีคำสั่งขยายระยะเวลาได้ต่อเมื่อมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้นด้วย เว้นแต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย แต่คำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของโจทก์ได้ยื่นล่าช้าเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ตามที่กฎหมายกำหนดแล้วโดยเหตุขัดข้องที่โจทก์อ้างอาศัยเป็นข้อแก้ตัวในความล่าช้าตามคำร้องมิใช่เหตุสุดวิสัย จึงไม่ได้รับประโยชน์จากข้อยกเว้นตามกฎหมาย คำร้องขอขยายระยะเวลาของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลไม่อาจรับพิจารณาและสั่งขยายระยะเวลาให้ได้ไม่ว่าจะมีเหตุจำเป็นตามที่โจทก์อ้างหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6208/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้: ยกฟ้องเนื่องจากพยานขัดแย้ง แต่ริบไม้อันได้มาจากการกระทำผิด
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้และขอให้ริบไม้ยางแปรรูปของกลาง ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าพยานโจทก์ในที่เกิดเหตุเบิกความขัดแย้งในข้อสำคัญ กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย แต่ไม้ของกลางเป็นไม้ที่มีผู้ลักลอบตัดจากริมเหมืองส่งน้ำถือว่าเป็นไม้อันได้มาเนื่องจากการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ จึงต้องริบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6205/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหน้าที่ทุจริตจ่ายค่าทดแทนที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กรมชลประทานเสียหาย ร่วมกันทำเอกสารเท็จ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยที่2ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน แต่จำเลยที่3กับพวกก็คิดค่าทดแทนให้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตร่วมกันทำเอกสารมีข้อความเป็นเท็จจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157,162(1)(4)ประกอบด้วยมาตรา83ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157อันเป็นบทหนัก ขณะเกิดเหตุจำเลยที่1รับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบและจ่ายเงินทดแทนทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานจากตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าวย่อมจะต้องเห็นความสำคัญของงานที่ทำที่มีผู้ประสงค์จะแสวงหาประโยชน์อยู่มากและความสำคัญของเอกสารที่ตนลงชื่อการที่จำเลยที่1อ้างว่ามีงานอื่นที่สำคัญและต้องทำอีกมากไม่มีเวลาออกไปตรวจสอบที่ดินของราษฎรนั้นไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ฟังว่าจำเลยที่1ไม่มีเจตนากระทำความผิดกับจำเลยที่3และจำเลยอื่นจำเลยที่1จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157,162(1)(2)ประกอบด้วยมาตรา83ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157อันเป็นบทหนัก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6205/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่ทุจริตจ่ายเงินทดแทนโดยมิชอบ และความผิดสนับสนุน
จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน แต่จำเลยที่ 3กับพวกก็คิดค่าทดแทนให้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตร่วมกันทำเอกสารมีข้อความเป็นเท็จ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,162(1)(4) ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบทหนัก ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 รับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบและจ่ายเงินทดแทนทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทาน จากตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว ย่อมจะต้องเห็นความสำคัญของงานที่ทำที่มีผู้ประสงค์จะแสวงหาประโยชน์อยู่มาก และความสำคัญของเอกสารที่ตนลงชื่อ การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่ามีงานอื่นที่สำคัญและต้องทำอีกมากไม่มีเวลาออกไปตรวจสอบที่ดินของราษฎรนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนากระทำความผิดกับจำเลยที่ 3และจำเลยอื่น จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,162(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบทหนัก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5925/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำเลยคดียาเสพติดซ้ำ และอำนาจศาลในการริบเงินที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
ผู้ที่จะได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนม์พรรษา 60 พรรษา พ.ศ. 2530 มาตรา 4 คือ ผู้ได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ แต่จำเลยยังไม่พ้นโทษในวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ จึงไม่ได้รับผลจากพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อจำเลยพ้นโทษฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองมายังไม่เกินห้าปี กลับมากระทำผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนอีกจึงต้องเพิ่มโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522มาตรา 97 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมิได้ฟ้องว่าจำเลยจำหน่ายเฮโรอีน เงินสดของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในคดีนี้ จึงมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิดในคดีนี้ ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบเงินสดของกลางที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบเงินสดของกลางด้วยจึงไม่ชอบ แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาปัญหานี้แต่เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5925/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้างมลทิน, เพิ่มโทษ, และการริบของกลาง: ข้อจำกัดการใช้ พ.ร.บ.ล้างมลทิน และอำนาจศาลในการริบ
ผู้ที่จะได้รับการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษาพ.ศ.2530 มาตรา 4 คือ ผู้ได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวใช้บังคับ แต่จำเลยยังไม่พ้นโทษในวันที่ พ.ร.บ.ดังกล่าวใช้บังคับ จึงไม่ได้รับผลจากพ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อจำเลยพ้นโทษฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองมายังไม่เกินห้าปี กลับมากระทำผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนอีกจึงต้องเพิ่มโทษจำเลยตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมิได้ฟ้องว่าจำเลยจำหน่ายเฮโรอีน เงินสดของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในคดีนี้ จึงมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิดในคดีนี้ ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบเงินสดของกลางที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบเงินสดของกลางด้วยจึงไม่ชอบ แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาปัญหานี้แต่เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5861/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาฝากทรัพย์: การผิดสัญญาจากปฏิเสธการจ่ายเงินตามสมุดเงินฝาก ไม่เข้าอายุความ 10 ปี
โจทก์ฝากเงินกับธนาคารจำเลยโดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จะถอนเงินฝากเมื่อใดก็ได้โดยนำสมุดเงินฝากมาแสดง ปรากฏตามสมุดเงินฝากว่าครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2514 โจทก์มีเงินฝากคงเหลืออยู่ในบัญชี 60,124.84 บาท โจทก์มิได้ปิดบัญชีกับจำเลย การที่โจทก์ขอถอนเงินจากบัญชีของโจทก์ในปี 2529 แล้วจำเลยไม่ยอมจ่ายเงินให้อ้างว่าบัญชีของโจทก์ปิดแล้วนั้น ย่อมเป็นการผิดสัญญาฝากทรัพย์ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความไว้ จึงต้องใช้อายุความทั่วไป 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม เมื่อนับถึงวันฟ้องวันที่ 4 กันยายน 2532 ยังไม่ถึง 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5849/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ขนส่งทอดสุดท้ายร่วมรับผิดชอบความเสียหายสินค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 618
นอกจากจำเลยจะปฏิบัติหน้าที่ทางเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหน่วยราชการต่าง ๆ แทนบริษัทผู้ขนส่งที่อยู่ต่างประเทศแล้ว จำเลยยังเป็นผู้จัดการในการขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ลงเรือฉลอมแล้วนำเข้ามาที่โรงพักสินค้าเพื่อส่งมอบให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งเป็นผู้รับตราส่งอีกด้วย เข้าลักษณะร่วมขนส่งเพื่อให้สินค้าถึงมือผู้ซื้อในการขนส่งช่วงสุดท้าย จำเลยจึงเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายซึ่งต้องร่วมรับผิดในความเสียหายของสินค้าด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 618 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งกับการรับขนของทางทะเลในขณะเกิดข้อพิพาททั้งนี้ไม่ว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นตอนใดระหว่างการขนส่งและจำเลยจะได้เป็นผู้ทำให้เกิดความเสียหายนั้นหรือไม่
of 47