พบผลลัพธ์ทั้งหมด 198 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ขาดรายละเอียดการกระทำละเมิด
โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิดโดยเบียดบัง ยักยอกเงินของสมาชิกโจทก์ซึ่งประสงค์จะซื้อหุ้นเพิ่มเติม และเงินที่ สมาชิกโจทก์นำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายข้ออ้าง ที่ อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องหรือในเอกสารท้ายฟ้องอันเป็น ส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่า สมาชิกดังกล่าวเป็นผู้ใดประสงค์ซื้อหุ้นเพิ่ม หรือชำระหนี้รายละเท่าใด อันชัดเจนเพียงพอที่จะให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร ทั้งเพียงพอที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 เข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172เป็นฟ้องเคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่เข้าใจข้อกล่าวหา – ละเมิดเบียดบังเงินสหกรณ์
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้จัดการและเป็นพนักงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจำกัดโจทก์ตามลำดับโดยจำเลยที่ 2 อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิดโดยเบียดบังยักยอกเงินของสมาชิกโจทก์ซึ่งประสงค์จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมและเงินที่สมาชิกโจทก์นำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องหรือในเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่าสมาชิกดังกล่าวเป็นผู้ใดประสงค์ซื้อหุ้นเพิ่ม หรือชำระหนี้รายละเอียดเท่าใด อันชัดเจนเพียงพอที่จะให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร ทั้งเพียงพอที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 เข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงขาดสารสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการกระทำความผิด
วันเกิดเหตุ พ. ก. และผู้เสียหายแต่งชุด นักเรียนไปพบกันที่หน้าโรงเรียนแล้วชวนกันไปชมภาพยนต์ แต่พบกับจำเลยซึ่งชอบพอ พ.โดยบังเอิญจำเลยชวนพ.ไปที่บ้านพักจำเลยพ.จึงชวน ก. และผู้เสียหายไปด้วย เมื่อไปถึงบ้านพักจำเลย จำเลยบอกว่าต้องการจะคุยกับ พ. เพียงลำพัง 2 คน แต่ไม่ได้บอกว่าให้ ก.และผู้เสียหายออกไปนั่งที่ใด ก. และผู้เสียหายจึงไปนั่งอยู่ในห้องนอนของ จ. พี่ชายจำเลย ต่อมา จ. ชวนผู้เสียหายไปตลาดแต่ผู้เสียหายไม่ไปจ.จึงชวนก.ไปตลาด ก. ตกลงไปด้วย ผู้เสียหายจึงปิดประตูห้องอ่านหนังสือคนเดียวและในที่สุดถูกพวกของจำเลยคนหนึ่งข่มขืนกระทำชำเรา ดังนี้ รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นธุระจัดหา ล่อ หรือชักพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารโดยนำผู้เสียหายไปให้พวกของจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 143/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกของผู้รับโอนที่ดินเดิม ทำให้ไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้
ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ ค. ได้จดทะเบียนโอนที่ดินของค.ให้อ.ไปแล้วต่อมาอ. ถึงแก่กรรม ผู้ร้องจึงไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินดังกล่าว และไม่อาจร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ อ.ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 143/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีส่วนได้เสียในการขอเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อมีการโอนมรดกเฉพาะส่วนไปแล้ว
ผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของ ค. เจ้าของที่ดินเดิมได้จดทะเบียนโอนมรดกที่ดินเฉพาะส่วนของ ค.ให้แก่อ.ผู้ตายไปแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกของ อ.หรือเกี่ยวกับทรัพย์สินในกองมรดกของ อ. ในอันที่จะร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ อ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขาย, การวางมัดจำ, การครอบครองปรปักษ์, และการชำระหนี้ตามสัญญา
ตามสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำที่ดินพิพาท โจทก์ผู้ซื้อได้วางเงินมัดจำซึ่งถือว่าเป็นการวางประจำตามกฎหมายแก่จำเลยที่ 1ผู้ขายกับพวกรับไปแล้ว ดังนี้ แม้สัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำจะใช้บังคับไม่ได้เพราะจำเลยที่ 1 พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในสัญญาโดยไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือก็ตาม แต่ก็ได้มีการวางประจำไว้แล้ว โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง ที่ดินพิพาททายาทยังปกครองร่วมกันอยู่ จำเลยที่ 7 และที่ 9ได้อยู่อาศัยบางส่วนในที่ดินโดยอาศัยสิทธิของบิดาของตนซึ่งเป็นทายาทรับมรดกจากนาง ส. แม้ต่อมาบิดาของจำเลยที่ 7 และที่ 9ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 7 ที่ 9 ต่างก็อยู่ในฐานะรับมรดกจากบิดาของตนกรณีไม่ใช่เป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 จำเลยที่ 7 ที่ 9 จึงอ้างสิทธิครอบครองโดยปรปักษ์ยันโจทก์ผู้ซื้อหาได้ไม่ การชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างเป็นเรื่องการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสิบห้าร่วมกันโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาโดยไม่บังคับให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่ค้างให้จำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 369 แม้จำเลยไม่อุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินมีผลผูกพันแม้ไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ หากมีการวางมัดจำแล้ว
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่จำเลยที่ 1 พิมพ์ลายนิ้วมือไว้โดยไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือใช้บังคับจำเลยที่ 1 ไม่ได้ แต่โจทก์ผู้ซื้อได้วางมัดจำเป็นเงินไว้ซึ่งถือว่าเป็นการวางประจำตามกฎหมาย โจทก์จึงฟ้องบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ให้โอนขายที่ดินให้โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสิบห้าวันร่วมกันโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายโดยไม่บังคับให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างให้จำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 369 แม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาก็พิพากษาแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นเรื่องการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน แม้ไม่มีพยานรับรองลายมือชื่อ แต่การวางมัดจำทำให้ฟ้องบังคับได้
แม้สัญญาจะซื้อขายที่ดิน ผู้ขายได้พิมพ์ลายนิ้วมือในสัญญา แต่ไม่มีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ซึ่งจะใช้บังคับผู้ขายไม่ได้ ก็ตาม แต่ผู้ซื้อได้วางมัดจำให้ผู้ขายไว้เป็นเงินบางส่วน ถือว่า เป็นการวางมัดจำตามกฎหมาย ผู้ซื้อจึงฟ้องบังคับผู้ขายได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 456วรรคสอง ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ โดยไม่บังคับให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างให้จำเลย ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 369แม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้เพราะ เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท: ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษจำคุกตามบทหนัก และจำกัดโทษไม่เกิน 5 ปีต่อกระทง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147,157,265,268 ความผิดตามมาตรา 147 และมาตรา 157 ลงโทษบทหนักตามมาตรา 147 เป็น 6 กระทง จำคุก กระทงละ5 ปี รวม 30 ปี และความผิดตามมาตรา 265 และมาตรา 268 ลงโทษตามมาตรา 268 จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 6 ปี รวมจำคุก 36 ปีศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยแต่ละคราวเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 147 บทหนักรวม 6 กระทงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 147,157,265,268 ให้ลงโทษตามมาตรา 147 บทหนักรวม 6 กระทง จำคุกกระทงละ5 ปี รวมจำคุก 30 ปี ดังนี้ ศาลอุทธรณ์เพียงแต่พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมกระทงความผิดเบียดบังยักยอกทรัพย์และใช้เอกสารปลอม ศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อยคงโทษเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147,157,265,268 ความผิดตามมาตรา 147 และมาตรา 157 ลงโทษบทหนักตามมาตรา 147 รวม 6 กระทงจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 30 ปี และความผิดตามมาตรา 265 และมาตรา 268 ลงโทษตามมาตรา 268 จำคุกกระทงละ 1 ปีรวม 6 ปี รวมจำคุก 36 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 147,157,265,268 เป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายให้ลงโทษตามมาตรา 147 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด รวม หลายบท 6 กระทงจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 30 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง.