คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพโรจน์ คำอ่อน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 636 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิซื้อนาของผู้เช่าตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ แม้มีการฟ้องร้องก่อนหน้า ไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำ หากเงื่อนไขครบถ้วน
เจ้าของที่ดินผู้ให้เช่านาจะขายนาไปต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 53และมาตรา 54 กำหนดไว้ หากมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นจะทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ ดังนั้นถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปให้จำเลยโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 54 โจทก์ผู้เช่านาย่อมมีสิทธิซื้อนาจากจำเลยได้ สิทธิของโจทก์ตามมาตรา 54 ดังกล่าว หาได้ระงับสิ้นไปโดยผลของสัญญาประนี-ประนอมยอมความไม่
แม้ประธาน คชก.ตำบลจะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้จำเลยทราบพร้อมทั้งระบุว่าจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ คชก.ตำบลมีคำวินิจฉัยซึ่งเป็นการแจ้งระยะเวลายื่นอุทธรณ์คลาดเคลื่อนไปจากที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 56 กำหนดไว้ก็ตาม จำเลยก็จะปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ว่ากฎหมายบัญญัติให้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด60 วัน นับแต่วันที่ คชก.ตำบลได้มีคำวินิจฉัยหาได้ไม่ เมื่อจำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลย่อมเป็นที่สุด และเมื่อไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของ คชก.ตำบล โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยขอให้ขายที่นาพิพาทตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลได้
ปัญหาว่าโจทก์ฟ้องซ้ำหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทแต่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ คดีก่อนโจทก์ฟ้อง ส. กับจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายนาพิพาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ในฐานะผู้เช่ามีสิทธิซื้อนาจากจำเลยตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้น แต่ทั้งนี้โจทก์จะต้องใช้สิทธิซื้อนาดังกล่าวก่อน เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยในฐานะผู้รับโอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา54 โจทก์จะขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายหาได้ไม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ดังนั้น ในคดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายนั้นกำหนด จึงยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำฟ้องของโจทก์ แต่ฟ้องโจทก์คดีนี้ โจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดครบถ้วนแล้วโจทก์จึงฟ้องจำเลยผู้รับโอนนาพิพาทขอให้จดทะเบียนขายนาพิพาทให้โจทก์เช่นนี้จึงไม่ใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1281-1282/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากการใช้เรือโดยประมาทและลักษณะไม่ปลอดภัย, การกระทำผิดตาม พ.ร.บ.เดินเรือ และประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยที่2ถึงที่4ตกลงกันเป็นหุ้นส่วนซื้อเรือเอี้ยมจุ๊นมาต่อเติมดัดแปลงเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันในกิจการท่องเที่ยวโดยจำเลยที่2มีหน้าที่ไปติดต่อขอซื้อเรือของกลางและเรือลำที่เกิดพลิกคว่ำจำเลยที่3มีหน้าที่เกี่ยวกับการติดต่อจดทะเบียนและขออนุญาตใช้เรือจำเลยที่4มีหน้าที่ในการออกแบบและต่อเติมเรือทั้งสองลำให้เป็นสองชั้นและได้จ้างจำเลยที่1ขับเรือของกลางซึ่งมีลักษณะน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือไปในการรับจ้างขนส่งคนโดยสารด้วยการบรรทุกจนน่าเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้นจึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกระทำความผิดด้วยกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83 องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา233ที่ว่าน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะไม่ใช่ผลของการกระทำจำเลยใช้เรือรับจ้างขนส่งคนโดยสารเมื่อเรือนั้นมีลักษณะหรือมีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในเรือนั้นแม้ยังไม่มีความเสียหายก็ถือเป็นความผิดสำเร็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1192/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการใช้ที่ดินของผู้อื่นเพื่อซ่อมแซมทรัพย์สิน และการฟ้องแย้งเรื่องละเมิดจากการรุกล้ำที่ดิน เป็นประเด็นต่างกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยด้านที่ติดต่อกับที่ดินโจทก์ทำการซ่อมแซมตึกโจทก์โจทก์ได้ซ่อมแซมด้านทิศตะวันตกไปแล้วแต่จำเลยไม่ยอมให้ซ่อมแซมด้านทิศเหนือขอให้บังคับจำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเพียงที่จำเป็นในการซ่อมแซมตึกของโจทก์จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์กระทำละเมิดโดยสร้างกันสาดด้านเหนือและปลูกสร้างตึกด้านตะวันออกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนกันสาดและตึกพร้อมคานคอดินส่วนที่รุกล้ำออกไปดังนี้ตามคำฟ้องและคำให้การคดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิบังคับจำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเพียงที่จำเป็นในการซ่อมแซมตึกของโจทก์หรือไม่ส่วนฟ้องแย้งและคำให้การแก้ฟ้องแย้งเป็นกรณีต้องวินิจฉัยว่าโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยหรือไม่ประเด็นที่วินิจฉัยตามคำฟ้องและฟ้องแย้งจึงเป็นคนละเรื่องกันและมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันในการวินิจฉัยฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1192/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการใช้ที่ดินของผู้อื่นเพื่อซ่อมแซม และการรุกล้ำที่ดิน: ประเด็นฟ้องแย้งแยกจากฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยด้านที่ติดต่อกับที่ดินโจทก์ทำการซ่อมแซมตึกโจทก์ โจทก์ได้ซ่อมแซมด้านทิศตะวันตกไปแล้วแต่จำเลยไม่ยอมให้ซ่อมแซมด้านทิศเหนือ ขอให้บังคับจำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเพียงที่จำเป็นในการซ่อมแซมตึกของโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์กระทำละเมิดโดยสร้างกันสาดด้านเหนือและปลูกสร้างตึกด้านตะวันออกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลย ขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนกันสาดและตึกพร้อมคานคอดินส่วนที่รุกล้ำออกไป ดังนี้ ตามคำฟ้องและคำให้การคดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิบังคับจำเลยยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเพียงที่จำเป็นในการซ่อมแซมตึกของโจทก์หรือไม่ ส่วนฟ้องแย้งและคำให้การแก้ฟ้องแย้งเป็นกรณีต้องวินิจฉัยว่า โจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยหรือไม่ ประเด็นที่วินิจฉัยตามคำฟ้องและฟ้องแย้งจึงเป็นคนละเรื่องกัน และมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันในการวินิจฉัย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลไม่ครบและการขับไล่จำเลยนอกเหนือคำขอท้ายฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่กระทบผลบังคับ
หากโจทก์เสียค่าขึ้นศาลไม่ครบหรือไม่ถูกต้องศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้เสียเพิ่มให้ครบถ้วนได้ทั้งการที่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกค่าขึ้นศาลให้ครบก็ทำให้ผิดพลาดเฉพาะในเรื่องการเรียกค่าธรรมเนียมศาลไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาอื่นๆหรือทำให้คำพิพากษาไม่มีผลบังคับแต่อย่างใด โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจำเลยนำรถเข้าไปไถที่ดินและหว่านกล้าในที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยมาเป็นรายปีแล้วแม้จะมีคำขอท้ายฟ้องเพียงว่าห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ย่อมมีความหมายว่าขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทด้วยคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทจึงไม่นอกเหนือหรือเกินคำขอท้ายฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลไม่ครบและการขอบังคับคดีขับไล่: ศาลมีอำนาจสั่งให้ชำระเพิ่มเติมได้ และคำพิพากษาไม่เกินคำขอ
กรณีที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ครบถ้วนได้ การที่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกค่าขึ้นศาลไว้ให้ครบ เป็นการคลาดเคลื่อน และเป็นการผิดพลาดเฉพาะในเรื่องการเรียกค่าธรรมเนียมศาลขาด แต่ไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาอื่น ๆ หรือทำให้คำพิพากษาไม่มีผลบังคับแต่อย่างใด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยได้นำรถไถเข้าไปไถที่ดินและหว่านกล้าในที่ดินพิพาททั้งแปลง ที่ดินพิพาทสามารถปลูกข้าวและปลูกพืชไร่ได้ตลอดทั้งปี ซึ่งโจทก์ก็ได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยมาเป็นรายปีจำเลยก็เบิกความยอมรับว่าได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องแต่เพียงว่า ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ย่อมมีความหมายว่าขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่นอกเหนือหรือเกินคำขอท้ายฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลไม่ครบและคำขอท้ายฟ้อง: ศาลมีอำนาจสั่งให้ชำระเพิ่ม และคำพิพากษาขับไล่ไม่เกินคำขอ
กรณีที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาไม่ครบหรือไม่ถูกต้องศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ครบถ้วนได้การที่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกค่าขึ้นศาลไว้ให้ครบเป็นการคลาดเคลื่อนและเป็นการผิดพลาดเฉพาะในเรื่องการเรียกค่าธรรมเนียมศาลขาดแต่ไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาอื่นๆหรือทำให้คำพิพากษาไม่มีผลบังคับแต่อย่างใด โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจำเลยได้นำรถไถเข้าไปไถที่ดินและหว่านกล้าในที่ดินพิพาททั้งแปลงที่ดินพิพาทสามารถปลูกข้าวและปลูกพืชไร่ได้ตลอดทั้งปีซึ่งโจทก์ก็ได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยมาเป็นรายปีจำเลยก็เบิกความยอมรับว่าได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องแต่เพียงว่าห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ย่อมมีความหมายว่าขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่นอกเหนือหรือเกินคำขอท้ายฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยไม่ผูกพันเมื่อผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยขณะทำสัญญา
จ. ทำสัญญา เช่าซื้อรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์หลังจากทำ สัญญาประกันภัยถือได้ว่า จ. ผู้เอาประกันภัยยังมิได้ มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ขณะที่โจทก์รับประกันภัยดังนั้นสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์และ จ. จึงไม่ผูกพันคู่สัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา863แม้โจทก์จะได้ชดใช้ค่าเสียหายแทน จ. ก็ ไม่ได้ รับช่วงสิทธิตามกฎหมายโจทก์จึง ไม่มี อำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกัน ชำระหนี้ในมูล ละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่1ซึ่ง ไม่ได้ ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245(1)ประกอบด้วยมาตรา247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินมรดก: ฟ้องแบ่งมรดกไม่ขาดอายุความ หากอ้างกรรมสิทธิ์จากการครอบครอง
โจทก์ฟ้องจำเลยให้แบ่งที่ดินมรดกโฉนดที่1969แก่โจทก์จำนวน23ไร่เศษศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องเกิน1ปีจึงขาดอายุความมรดกแต่โจทก์คงได้เท่าที่โจทก์ครอบครองอยู่6ไร่เป็นการวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้ที่ดินเพียงใดโจทก์ขอให้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยแบ่งที่ดิน6ไร่ให้โจทก์แต่ศาลยกคำร้องเพราะไม่อาจออกคำบังคับได้โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยจดทะเบียนลงชื่อโจทก์ในโฉนดที่1969เป็นเนื้อที่6ไร่อันมีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยแบ่งที่ดิน6ไร่ได้หรือไม่ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่ศาลวินิจฉัยแล้วไม่เป็นฟ้องซ้ำตามป.วิ.พ.มาตรา148 หลังจากเจ้ามรดกตายมีการแบ่งปันมรดกโดยทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัดทั้งนี้โจทก์เข้าครอบครองที่ดิน6ไร่ของที่ดินโฉนดที่1969โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ร่วมในโฉนดดังกล่าวได้และมิใช่เป็นการฟ้องคดีมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1754ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ ทรัพยสินมรดก และการฟ้องขับไล่ การฟ้องบังคับให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
คดีก่อนกับคดีนี้แม้จะเป็นคู่ความรายเดียวกันแต่ในคดีก่อนประเด็นที่ว่าโจทก์มีสิทธิขอแบ่งที่ดินพิพาทหรือไม่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโดยยังไม่ได้วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ฝ่ายจำเลยแบ่งที่ดินพิพาทอันเป็นที่ดินบางส่วนที่โจทก์ฟ้องได้หรือไม่คงวินิจฉัยไว้แต่เพียงว่าโจทก์มีสิทธิได้ที่ดินพิพาทในคดีก่อนเพียงใดเท่าใดดังนั้นฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ที่ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนลงชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินอันเป็นที่ดินพิพาทกับขอให้ขับไล่จำเลยที่7และบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ใช่ประเด็นที่ศาลวินิจฉัยแล้วอันจะเป็นการต้องห้ามมิให้โจทก์นำมาฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148 ที่ดินพิพาทแม้จะเป็นทรัพย์มรดกแต่ก็เป็นทรัพย์มรดกที่โจทก์ผู้เป็นทายาทได้มาโดยการเข้าครอบครองเป็นสัดส่วนแล้วซึ่งเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1750วรรคหนึ่งโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยลงชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินพิพาทจึงมิใช่เป็นการฟ้องคดีมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1754ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
of 64