คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จเร อำนวยวัฒนา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 617 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีจากการขนส่งสินค้า: เริ่มนับเมื่อส่งมอบสินค้าแล้วเสร็จ, ข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่ง
การที่จำเลยที่1ออกใบสั่งปล่อยสินค้าให้แก่บริษัทก.เป็นเพียงหลักฐานเพื่อให้บริษัทดังกล่าวนำไปขอรับสินค้าจากเรือได้เท่านั้นแต่ถ้ายังมิได้มีการขนถ่ายสินค้าก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่1ได้ส่งมอบสินค้าให้แก่บริษัทก. แล้วเพราะสินค้ายังอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่1เมื่อเริ่มมีการขนถ่ายสินค้าในวันที่4มิถุนายน2533ก็ต้องถือว่าจำเลยที่1เริ่มส่งมอบสินค้าให้แก่บริษัทก. แต่เมื่อการขนถ่ายสินค้าไม่แล้วเสร็จในวันนั้นและได้มีการขนถ่ายสินค้าต่อมาทุกวันจนแล้วเสร็จในวันที่9เดือนเดียวกันก็ต้องถือว่าจำเลยที่1ได้ทยอยส่งมอบสินค้าให้แก่บริษัทดังกล่าวตลอดมาจนส่งมอบเสร็จสิ้นในวันที่9มิถุนายน2533การนับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา624จึงต้องนับตั้งแต่วันที่ส่งมอบสินค้าแล้วเสร็จคือวันที่9มิถุนายน2533โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่5มิถุนายน2534ยังไม่พ้นกำหนด1ปีนับแต่วันส่งมอบสินค้าจึงไม่ขาดอายุความ ใบตราส่งมีเงื่อนไขจำกัดความรับผิดของจำเลยที่1ผู้ขนส่งไว้แต่เมื่อทางนำสืบของจำเลยที่1ไม่ปรากฎว่าผู้ส่งสินค้าได้แสดงความตกลงด้วยในการจำกัดความรับผิดดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าผู้ส่งสินค้าตกลงโดยชัดแจ้งให้จำเลยที่1จำกัดความรับผิดดังกล่าวข้อจำกัดความรับผิดจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา625

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1956/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง แต่สั่งระงับการจ่ายเงิน ถือเป็นเจตนาทุจริตตาม พ.ร.บ.เช็ค
โจทก์เคยฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อข้าวสารแต่เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวจำเลยได้ออกเช็คพิพาทกับเช็คฉบับอื่นแทนเช็คที่ฟ้องร้องกันโจทก์จึงถอนฟ้องเช็คพิพาทที่จำเลยออกให้โจทก์ถือได้ว่ามีมูลหนี้มาจากจำเลยซื้อข้าวสารของโจทก์นั่นเองการออกเช็คพิพาทของจำเลยคดีนี้จึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทซึ่งถึงกำหนดไปเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเนื่องจากสั่งให้ระงับการจ่ายเงินการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1956/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค: เช็คชำระหนี้ซื้อขายข้าวสาร ถึงกำหนดแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่าย
โจทก์เคยฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อข้าวสารแต่เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวจำเลยได้ออกเช็คพิพาทกับเช็คฉบับอื่นแทนเช็คที่ฟ้องร้องกัน โจทก์จึงถอนฟ้อง เช็คพิพาทที่จำเลยออกให้โจทก์ถือได้ว่ามีมูลหนี้มาจากจำเลยซื้อข้าวสารของโจทก์นั่นเอง การออกเช็คพิพาทของจำเลยคดีนี้จึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทซึ่งถึงกำหนดไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเนื่องจากสั่งให้ระงับการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1727/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณปริมาณเมทแอมเฟตามีนเป็นสารบริสุทธิ์เพื่อความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ฯ มาตรา 106 ทวิ
ความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ฯมาตรา106ทวิฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดนั้นได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่92(พ.ศ.2538)ออกใช้ภายหลังการกระทำความผิดและเป็นคุณแก่จำเลยซึ่งจะต้องนำมาบังคับใช้ในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา3ประกาศดังกล่าวระบุว่าเมทแอมเฟตามีนที่ห้ามมีเกินกว่า0.500กรัมนั้นจะต้องคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เสียก่อนแต่ไม่ปรากฎว่าเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องได้คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วเกิน0.500กรัมการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา106ไม่เป็นความผิดตามมาตรา106ทวิดังนั้นแม้โจทก์จะอ้างว่าได้อ้างมาตราท้ายฟ้องผิดไปเป็นมาตรา106ก็ตามคดีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจะลงโทษตามมาตรา106ทวิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคห้าได้หรือไม่อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1727/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคิดคำนวณปริมาณสารบริสุทธิ์ในคดีครอบครองเมทแอมเฟตามีน และผลต่อการพิจารณาความผิด
ความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ ฯ มาตรา 106 ทวิ ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดนั้น ได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 92 (พ.ศ.2538) ออกใช้ภายหลังการกระทำความผิดและเป็นคุณแก่จำเลย ซึ่งจะต้องนำมาบังคับใช้ในคดีนี้ตาม ป.อ.มาตรา 3 ประกาศดังกล่าวระบุว่าเมทแอมเฟตามีนที่ห้ามมีเกินกว่า 0.500 กรัม นั้น จะต้องคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เสียก่อน แต่ไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องได้คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วเกิน 0.500 กรัม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 106 ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 106 ทวิ ดังนั้น แม้โจทก์จะอ้างว่าได้อ้างมาตราท้ายฟ้องผิดไปเป็นมาตรา 106 ก็ตาม คดีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจะลงโทษตามมาตรา 106 ทวิ ตามป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า ได้หรือไม่อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1718/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายที่ดินเป็นพ้นวิสัยเนื่องจากข้อจำกัดการโอนที่ดิน
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินโจทก์และจำเลยตกลงกันว่า จำเลยจะจดทะเบียนโอนขายที่ดินแก่โจทก์เมื่อได้ออก น.ส.3 เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อมามีการออก น.ส.3 แต่มีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี กรณีจึงต้องด้วย ป.พ.พ.มาตรา 219 วรรคหนึ่ง คือการจดทะเบียนโอนขายที่ดินแก่โจทก์กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะมีข้อกำหนดห้ามโอนอันเป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังที่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายจำเลยจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้โดยไม่ต้องจดทะเบียนโอนขายที่ดินแก่โจทก์อีกต่อไปเพราะไม่มีข้อตกลงว่าต้องรอจนพ้นกำหนดห้ามโอนแล้วจึงจะจดทะเบียนโอนขาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1718/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายที่ดินมีข้อกำหนดห้ามโอน สัญญาเป็นพ้นวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินโจทก์และจำเลยตกลงกันว่าจำเลยจะจดทะเบียนโอนขายที่ดินแก่โจทก์เมื่อได้ออกน.ส.3เสร็จเรียบร้อยแล้วต่อมามีการออกน.ส.3แต่มีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน10ปีกรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา219วรรคหนึ่งคือการจดทะเบียนโอนขายที่ดินแก่โจทก์กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะมีข้อกำหนดห้ามโอนอันเป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังที่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายจำเลยจึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้โดยไม่ต้องจดทะเบียนโอนขายที่ดินแก่โจทก์อีกต่อไปเพราะไม่มีข้อตกลงว่าต้องรอจนพ้นกำหนดห้ามโอนแล้วจึงจะจดทะเบียนโอนขาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งกรรมสิทธิ์รวม: ศาลไม่อาจใช้คำพิพากษาแทนเจตนาจำเลยในการรังวัดแบ่งแยก หากทำไม่ได้ต้องขายทอดตลาด
โจทก์ฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยเพื่อทำการรังวัดแบ่งแยกนั้นขัดต่อคำพิพากษาที่ว่าหากการรังวัดแบ่งแยกไม่อาจทำได้ให้ขายเอาเงินแบ่งกัน และขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำขอในส่วนที่ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดิน: ศาลไม่อาจใช้คำพิพากษาแทนเจตนาจำเลย หากจำเลยไม่ยินยอมในการรังวัดแบ่งแยก
โจทก์ฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยเพื่อทำการรังวัดแบ่งแยกนั้นขัดต่อคำพิพากษาที่ว่าหากการรังวัดแบ่งแยกไม่อาจทำได้ให้ขายเอาเงินแบ่งกันและขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1364ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำขอในส่วนที่ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1402/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดเครื่องหมายการค้า: สิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าในการฟ้องเรียกค่าเสียหาย แม้ยังมิได้จดทะเบียนในไทย
จำเลยฎีกาว่าขณะฟ้องคดีโจทก์ยังมิได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาทโจทก์จะใช้สิทธิฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2534มาตรา46นั้นปัญหานี้แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยจึงยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ฟ้องของโจทก์และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาทโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยเมื่อจำเลยผลิตสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าของโจทก์ออกจำหน่ายทำให้ผู้ซื้อสินค้าของจำเลยเข้าใจผิดว่าเป็นสินค้าของโจทก์อันเป็นการลวงขายดังนี้โจทก์ย่อมเป็นฝ่ายได้รับความเสียหายและมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2534มาตรา46วรรคสอง ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยได้ผลิตและจำหน่ายสินค้าโดยใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์อันเป็นการลวงขายเป็นการละเมิดต่อสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายส่วนจำเลยให้การเพียงว่าจำเลยนำเครื่องหมายการค้าตามที่นายทะเบียนอนุญาตมาใช้กับสินค้าที่จำเลยผลิตโดยสุจริตจำเลยได้ระงับการผลิตสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าพิพาทแล้วและตามฎีกาของจำเลยก็รับว่าจำเลยได้ผลิตสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของโจทก์แต่อ้างว่าผลิตเป็นตัวอย่างเท่านั้นดังนั้นข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าจำเลยได้ผลิตสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของโจทก์แล้ว
of 62