คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จเร อำนวยวัฒนา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 617 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5462/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: ศาลฎีกายืนประเด็นวินิจฉัยสิทธิครอบครองโดยไม่เข้าข่ายการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยบุกรุกเข้ามาแย่งการครอบครอง จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์เป็นของจำเลย ปัญหาที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันก็คือ โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาท ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดประเด็นวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ จึงชอบแล้ว มิได้วินิจฉัยผิดประเด็นและมิใช่เป็นข้อที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ที่เกี่ยวกับการเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374,1375 นั้นเป็นเรื่องที่ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2ไม่ได้พิพากษาคดีโดยอาศัยข้อกฎหมายตามที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงมิใช่การคัดค้านโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5398/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: หลักการสันนิษฐานความเป็นเจ้าของตามโฉนด และภาระการพิสูจน์ของฝ่ายอ้างสิทธิ
การที่จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินโดยมีหลักฐานการรับโอนมาด้วยการซื้อขาย ซึ่งในเบื้องต้นต้องสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินและบ้าน โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์หักล้างพยานหลักฐานของจำเลย เช่นนี้ ต้องฟังว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5398/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: ผู้มีชื่อในโฉนดต้องสันนิษฐานว่าเป็นเจ้าของ หากไม่มีหลักฐานหักล้าง
การที่จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินโดยมีหลักฐานการรับโอนมาด้วยการซื้อขาย ซึ่งในเบื้องต้นต้องสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินและบ้าน โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ เมี่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์หักล้างพยานหลักฐานของจำเลย เช่นนี้ ต้องฟังว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5334/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวที่พอสมควรแก่เหตุ เมื่อถูกทำร้ายก่อนและภัยยังคงมีอยู่
จำเลยไม่มีสาเหตุกับผู้ตายเมื่อ อ. ซึ่งถูกผู้ตาย ไล่ฟันวิ่งมาหลบอยู่หลังจำเลยและผู้ตายตามมาฟัน อ. จำเลยพูดกับผู้ตายว่าจำเลยไม่เกี่ยวข้องนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้เข้าช่วยเหลือ อ.ไม่ได้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ระหว่างอ.กับผู้ตาย ทั้งไม่ได้สมัครใจเข้าต่อสู้กับผู้ตายแต่อย่างใด ผู้ตายตามมาฟัน อ.ซึ่งวิ่งมาหลบอยู่หลังจำเลยเมื่ออ.หลบหนีไปแล้ว ผู้ตายใช้มีดฟันถูกบริเวณแก้มซ้ายของจำเลย แสดงว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้มีดฟันถูกจำเลย จำเลยเข้าแย่งมีดได้จากผู้ตาย ผู้ตายกับพวกจะเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายหนึ่งครั้งแล้ววิ่งหนีไป เช่นนี้ฟังได้ว่าภัยที่เกิดขึ้นแก่จำเลยยังมีอยู่ การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไปเพียงหนึ่งครั้ง จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5334/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันตนเองจากการถูกทำร้าย: การกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
จำเลยไม่มีสาเหตุกับผู้ตายเมื่อ อ.ซึ่งถูกผู้ตาย ไล่ฟันวิ่งมาหลบอยู่หลังจำเลยและผู้ตายตามมาฟัน อ. จำเลยพูดกับผู้ตายว่าจำเลยไม่เกี่ยวข้องนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้เข้าช่วยเหลือ อ. ไม่ได้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ระหว่างอ.กับผู้ตาย ทั้งไม่ได้สมัครใจเข้าต่อสู้กับผู้ตายแต่อย่างใด
ผู้ตายตามมาฟัน อ.ซึ่งวิ่งมาหลบอยู่หลังจำเลย เมื่อ อ.หลบหนีไปแล้ว ผู้ตายใช้มีดฟันถูกบริเวณแก้มซ้ายของจำเลย แสดงว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้มีดฟันถูกจำเลย จำเลยเข้าแย่งมีดได้จากผู้ตาย ผู้ตายกับพวกจะเข้ามาทำร้ายจำเลยอีก จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายหนึ่งครั้งแล้ววิ่งหนีไป เช่นนี้ฟังได้ว่าภัยที่เกิดขึ้นแก่จำเลยยังมีอยู่ การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไปเพียงหนึ่งครั้ง จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 68 ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา288

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5324/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีผู้ค้ำประกัน: พิจารณาจากลูกหนี้ผิดนัด ไม่ใช่หมดอายุความของลูกหนี้ และการสั่งค่าฤชาธรรมเนียม
จำเลยที่ 1 ยกเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้คดีไว้ในคำให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันเกินกว่าระยะเวลา 10 ปีไม่ได้ แต่เหตุที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นฎีกาเพื่อให้ตนเองพ้นความรับผิดเป็นเรื่องที่ว่าหนี้ของลูกหนี้ขาดอายุความแล้ว จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมพ้นความรับผิดไปด้วยเป็นคนละเรื่องกับที่ให้การไว้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่โจทก์จะมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ได้หรือไม่ ต้องพิจารณาเพียงว่าลูกหนี้ผิดนัดแล้วหรือไม่เท่านั้น เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ แม้ขณะนั้นอายุความที่จะฟ้องลูกหนี้ยังสะดุดหยุดอยู่ก็ตาม
แม้ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ คดีที่ลูกหนี้ถูกฟ้องล้มละลาย ยังไม่มีการยกเลิกการล้มละลาย และยังไม่ได้มีการเฉลี่ยทรัพย์รายได้เป็นครั้งที่สุด อายุความที่จะฟ้องลูกหนี้ยังคงสะดุดหยุดอยู่ คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 161 และ มาตรา 167ที่กำหนดให้ศาลต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ศาลฎีกาแก้ไขได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5324/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีผู้ค้ำประกัน: สะดุดหยุดเมื่อยื่นคำร้องในคดีล้มละลาย และไม่เริ่มนับใหม่จนกว่าคดีล้มละลายสิ้นสุด
การที่เจ้าหนี้จะมีสิทธิฟ้องผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ได้หรือไม่ก็พิจารณาเพียงว่า ลูกหนี้ผิดนัดแล้วหรือไม่เท่านั้น เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้วเจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ค้ำประกันได้ แม้ขณะนั้นอายุความที่จะฟ้องลูกหนี้ยังสะดุดหยุดอยู่ก็ตาม การมีเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดอยู่ยังไม่สิ้นสุดลงนั้น เป็นเพียงทำให้ยังไม่เริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นผลกลับทำให้เจ้าหนี้มีระยะเวลาที่จะฟ้องลูกหนี้เป็นเวลายาวนานกว่าปกติ มิใช่ว่าจะทำให้เจ้าหนี้หมดสิทธิที่จะฟ้องผู้ค้ำประกันในขณะที่อายุความสะดุดหยุดอยู่แต่อย่างใด โจทก์ยื่นคำร้องขอพิสูจน์หนี้ในคดีล้มละลาย ย่อมทำให้อายุความฟ้องคดีของโจทก์สะดุดหยุดอยู่ แม้ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับชำระหนี้ได้ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องการเฉลี่ยทรัพย์รายได้เป็นครั้งที่สุด เพื่อยังไม่มีการยกเลิกการล้มละลายและยังไม่ได้มีการเฉลี่ยทรัพย์รายได้เป็นครั้งที่สุด อายุความที่จะฟ้องลูกหนี้ยังคงสะดุดหยุดอยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5324/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีผู้ค้ำประกัน: พิจารณาจากลูกหนี้ผิดนัด แม้คดีล้มละลายยังไม่สิ้นสุด
จำเลยที่ 1 ยกเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้คดีไว้ในคำให้การแต่เพียงว่า โจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันเกินกว่าระยะเวลา 10 ปี ไม่ได้ แต่เหตุที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นฎีกาเพื่อให้ตนเองพ้นความรับผิดเป็นเรื่องที่ว่าหนี้ของลูกหนี้ขาดอายุความแล้ว จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมพ้นความรับผิดไปด้วยเป็นคนละเรื่องกับที่ให้การไว้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่โจทก์จะมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ได้หรือไม่ ต้องพิจารณาเพียงว่าลูกหนี้ผิดนัดแล้วหรือไม่เท่านั้น เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้แม้ขณะนั้นอายุความที่จะฟ้องลูกหนี้ยังสะดุดหยุดอยู่ก็ตาม แม้ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ คดีที่ลูกหนี้ถูกฟ้องล้มละลาย ยังไม่มีการยกเลิกการล้มละลาย และยังไม่ได้มีการเฉลี่ยทรัพย์รายได้เป็นครั้งที่สุด อายุความที่จะฟ้องลูกหนี้ยังคงสะดุดหยุดอยู่ คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 และมาตรา 167ที่กำหนดให้ศาลต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ศาลฎีกาแก้ไขได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5248/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลอุทธรณ์แก้โทษเฉพาะมาตรา 289(4) ถือเป็นอันสิ้นสุดจำเลยไม่มีสิทธิฎีกา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289(4) พิพากษาลงโทษประหารชีวิต ของกลางริบ โจทก์และจำเลย ต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสองศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายโดย ไตร่ตรองไว้ก่อนเช่นเดียวกัน แต่เมื่อปรับบทลงโทษตามมาตรา 289(4) แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 288อีก พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คดีเป็นอันถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสองแล้วจำเลยย่อมฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โจทก์ไม่เป็นผู้เสียหายจากการรุกล้ำที่ดินและการออก น.ส.3 ก. เกินกว่าสัญญาซื้อขาย เพราะรู้เห็นและประสงค์ได้ที่ดินส่วนเกิน
การกระทำของจำเลยทั้งแปดที่ร่วมกันนำชี้และรังวัดที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะเพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ที่ดินเพิ่มขึ้นอันเป็นการทำให้รัฐต้องสูญเสียที่ดินไปย่อมทำให้รัฐเสียหาย แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทำให้โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่มจากที่ได้ทำสัญญาไว้ โจทก์ก็เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินเท่านั้น หาได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดอาญาของจำเลยทั้งแปดไม่ เมื่อโจทก์ไม่ต้องการที่ดินส่วนที่เพิ่มตาม น.ส.3 ก. ที่ออกใหม่เพราะไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ย่อมปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบได้อยู่แล้ว โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,157,162 และ 267 ที่ดินที่โจทก์ตกลงซื้อจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 มีเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เพียง 6 ไร่เศษ แต่โจทก์จำเลยกลับทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันในเนื้อที่ถึง ไร่เศษ ทั้งยังตกลงกันอีกว่า หาก น.ส.3 ก. ที่ออกใหม่มีเนื้อที่ดินเพิ่มจากที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายโจทก์ก็จะชำระราคาเพิ่ม การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยนำชี้ที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะได้เนื้อที่ดินมากกว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เดิมจำนวน 1 ไร่เศษ นั้น ถือได้ว่าโจทก์ได้ร่วมรู้และประสงค์จะได้เนื้อที่ดินที่เกินจากหลักฐานราชการบางส่วนด้วยจึงเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดแม้จำเลยจะได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) มาแสดงต่อโจทก์ เพื่อให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 267
of 62