พบผลลัพธ์ทั้งหมด 617 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายจากการรังวัดที่ดิน: ผู้จะซื้อไม่ใช่ผู้เสียหาย หากมีส่วนร่วมรู้เห็น
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งแปดร่วมกันนำชี้และรังวัดที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะเพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ที่ดินเพิ่มขึ้น จึงทำให้รัฐเสียหายโจทก์เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดิน หากไม่ต้องการที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ย่อมปฏิเสธไม่จ่ายเงินส่วนนี้ได้อยู่แล้ว โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 137, 157, 162 และ 267 ส่วนความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268 ประกอบมาตรา 267 นั้น โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เกินไปกว่าเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 1 ไร่เศษ โดยมีข้อตกลงให้โจทก์ชำระเงินเพิ่มตารางวาละ 3,500 บาทถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิด โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาของผู้เสียหาย: โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงจากการรังวัดที่ดินรุกล้ำและทำสัญญาซื้อขายเกินเนื้อที่จริง
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งแปดร่วมกันนำชี้และรังวัดที่ดินรุกล้ำที่สาธารณะเพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6ได้ที่ดินเพิ่มขึ้น จึงทำให้รัฐเสียหาย โจทก์เป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดิน หากไม่ต้องการที่ดินส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ย่อมปฏิเสธไม่จ่ายเงินส่วนนี้ได้อยู่แล้ว โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,157,162 และ 267ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบมาตรา 267 นั้น โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1ถึงที่ 6 เกินไปกว่าเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 1 ไร่เศษ โดยมีข้อตกลงให้โจทก์ชำระเงินเพิ่มตารางวาละ 3,500 บาท ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิด โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5133/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องไม่ใช่การครอบครองแทนเจ้าของเดิม แม้ครอบครองนานก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของมารดาโจทก์เป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนมารดาโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของ มิใช่ยึดถือในฐานะเจ้าของ แม้โจทก์ครอบครองนานเพียงใดก็จะอ้างการครอบครองปรปักษ์มายันมารดาโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเดิม และจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ต่อมาจากมารดาโจทก์หาได้ไม่ โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีแต่คำขอเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์เท่านั้น มิได้มีคำขอให้บังคับเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงมารดาโจทก์ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลยแต่อย่างใด แม้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงมารดาโจทก์ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลย ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีแต่คำขอเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์เท่านั้น มิได้มีคำขอให้บังคับเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงมารดาโจทก์ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลยแต่อย่างใด แม้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงมารดาโจทก์ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลย ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5133/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องเป็นการครอบครองในฐานะเจ้าของ มิใช่แทนเจ้าของเดิม แม้ครอบครองนานก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของมารดาโจทก์เป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนมารดาโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของ มิใช่ยึดถือในฐานะเจ้าของ แม้โจทก์ครอบครองนานเพียงใดก็จะอ้างการครอบครองปรปักษ์มายันมารดาโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเดิมและจำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ต่อมาจากมารดาโจทก์หาได้ไม่ โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีแต่คำขอเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์เท่านั้น มิได้มีคำขอให้บังคับเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงมารดาโจทก์ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลยแต่อย่างใดแม้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงมารดาโจทก์ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลย ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5078/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานผลิตยาเสพติด พิจารณาจากพฤติการณ์การบรรจุและขนส่งยาเสพติด
เจ้าพนักงานตรวจจับจำเลยได้พร้อมกับยึดเข่งไม้ไผ่บรรจุกัญชา เป็นของกลางโดยกัญชามีลักษณะเป็นพืชแห้งอัดเป็นแท่งรวม 3 แท่ง และบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่อีก 5 ถุง การที่จำเลยนำกัญชา ทั้ง 8 ชิ้น ใส่รวมในเข่งใบเดียวกันและนำมะพร้าววางทับไว้ ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์ เอาไปมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียง เพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่ เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังไม่ถือว่า เป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5078/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานผลิตยาเสพติด ต้องมีเจตนาแบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุเพื่อจำหน่าย ไม่ใช่แค่การขนส่งอำพราง
โจทก์ไม่มีพยานมายืนยันว่าจำเลยเป็นคนอัดกัญชา ให้เป็นแท่งหรือนำกัญชาแบ่งบรรจุใส่ในถุงพลาสติก คงได้ความ จากคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยว่า จำเลยเพียงแต่รับจ้าง นางผ.นำเอากัญชาของกลางไปมอบให้แก่ลูกค้าของนางผ.เท่านั้นจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ผลิตกัญชาโดยวิธีการแบ่งบรรจุตามความหมายของบทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ผลิต" ดังที่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 บัญญัติไว้ จำเลยเป็นผู้นำกัญชาของกลางทั้ง 8 ชิ้น ใส่รวมไว้ในเข่งใบเดียวกัน แล้วนำมะพร้าววางทับไว้ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์เอาไปมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียงเพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5078/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำเพื่อสะดวกในการขนส่งยาเสพติด ไม่ถือเป็นการผลิตยาเสพติด
จำเลยนำกัญชา 8 ชิ้น ใส่รวมในเข่งใบเดียวกันแล้วนำมะพร้าววางทับไว้ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์เอาไปมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียงเพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5078/2537 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานผลิตยาเสพติด: การรวมบรรจุเพื่อขนส่งไม่ใช่การผลิตเพื่อจำหน่าย
โจทก์ไม่มีพยานมายืนยันว่าจำเลยเป็นคนอัดกัญชาให้เป็นแท่งหรือนำกัญชาแบ่งบรรจุใส่ในถุงพลาสติก คงได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยว่า จำเลยเพียงแต่รับจ้างนาง ผ.นำเอากัญชาของกลางไปมอบให้แก่ลูกค้าของนาง ผ.เท่านั้น จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ผลิตกัญชาโดยวิธีการแบ่งบรรจุตามความหมายของบทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ผลิต" ดังที่ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 4 บัญญัติไว้
จำเลยเป็นผู้นำกัญชาของกลางทั้ง 8 ชิ้น ใส่รวมไว้ในเข่งใบเดียวกัน แล้วนำมะพร้าววางทับไว้ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์เอาไปมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียงเพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุตามที่โจทก์ฟ้อง
จำเลยเป็นผู้นำกัญชาของกลางทั้ง 8 ชิ้น ใส่รวมไว้ในเข่งใบเดียวกัน แล้วนำมะพร้าววางทับไว้ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์เอาไปมอบให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียงเพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชาไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5044/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการดำเนินคดีอย่างคนอนาถา การเลือกใช้สิทธิอุทธรณ์หรือยื่นคำร้องใหม่ และพฤติการณ์ประวิงคดี
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและเห็นว่าพยานจำเลยที่นำสืบมาแล้วฟังได้ว่าจำเลยไม่ยากจนมีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ ให้ยกคำร้อง จำเลยชอบที่จะขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ หรือใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 7 วัน เมื่อจำเลยเลือกยื่นคำขอให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานมาแสดงเพิ่มเติม จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนไต่สวนอีกทางหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ มิได้บังคับว่า เมื่อมีผู้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนนั้น ศาลจะต้องอนุญาต แต่เป็นดุลพินิจของศาลที่จะสั่งอนุญาตหรือไม่ก็ได้แล้วแต่พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานที่จำเลยจะขอนำสืบเพิ่มเติม เป็นพยานหลักฐานเดิมที่จำเลยสามารถนำเข้าสืบได้ในชั้นไต่สวนคำร้องอยู่แล้ว แต่จำเลยไม่พยายามนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาศาลโดยมีเจตนาหน่วงเหนี่ยวคดีให้ล่าช้า อันมีลักษณะประวิงคดีพฤติการณ์จึงไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5044/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเลือกดำเนินการระหว่างขอพิจารณาคำร้องใหม่หรืออุทธรณ์คำสั่ง กรณีคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและเห็นว่าจำเลยไม่ยากจน ให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาจำเลยชอบที่จะขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ หรือใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 7 วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ หรือวรรคห้า เมื่อจำเลยเลือกยื่นคำขอให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานมาแสดงเพิ่มเติม จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนไต่สวนอีกทางหนึ่ง การร้องขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ นั้นเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้แล้วแต่พฤติการณ์แห่งคดีเมื่อเห็นได้ชัดว่าพยานหลักฐานที่จำเลยจะขอนำสืบเพิ่มเติมเป็นพยานหลักฐานเดิมที่จำเลยสามารถนำสืบได้ในชั้นไต่สวนคำร้องเดิมอยู่แล้ว แต่จำเลยไม่พยายามนำหลักฐานดังกล่าวมาศาลโดยมีเจตนาหน่วงเหนี่ยวคดีให้ล่าช้าอันมีลักษณะประวิงคดี พฤติการณ์จึงไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติม