พบผลลัพธ์ทั้งหมด 617 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1240/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต: การริบของกลางต้องเชื่อมโยงกับการกระทำความผิด
การกระทำความผิดของจำเลยเป็นเพียงแต่การไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ของกลางไม่ใช่สิ่งที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 74 ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ศาลสั่งริบของกลางดังกล่าวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าที่ได้มาจากการบังคับคดี ถือเป็นการได้มาโดยชอบธรรม โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
ตึกพิพาทโจทก์ได้ซื้อสิทธิการเช่าของจำเลยที่ได้ทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาที่ยังไม่หมดอายุการเช่าจากการขายทอดตลาดที่จำเลยถูกบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531 ของศาลชั้นต้นแล้วนั้น ย่อมถือได้ว่าสิทธิการเช่าตึกของจำเลยต่อกรมการศาสนาตามสัญญาที่จำเลยทำต่อกรมการศาสนานั้นโจทก์ได้มาจากการขายทอดตลาดโดยการบังคับคดีของศาลชั้นต้น ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531ซึ่งถือได้ว่าเป็นการได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ ส่วนเรื่องที่โจทก์ได้สิทธิการเช่าตึกพิพาทจากจำเลยมาแล้วจะเข้าอยู่ในตึกพิพาทได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องระหว่างกรมการศาสนากับโจทก์ ไม่เกี่ยวกับสิทธิการเช่าที่โจทก์ได้มาโดยการขายทอดตลาดตามวิธีการบังคับคดีแต่ประการใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าที่ได้จากการบังคับคดี: โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
ตึกพิพาทโจทก์ได้ซื้อสิทธิการเช่าของจำเลยที่ได้ทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาที่ยังไม่หมดอายุการเช่าจากการขายทอดตลาดที่จำเลยถูกบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531 ของศาลชั้นต้นแล้วนั้น ย่อมถือได้ว่าสิทธิการเช่าตึกของจำเลยต่อกรมการศาสนาตามสัญญาที่จำเลยทำต่อกรมการศาสนานั้นโจทก์ได้มาจากการขายทอดตลลาด โดยการบังคับคดีของศาลชั้นต้น ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2531 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ ส่วนเรื่องที่โจทก์ได้สิทธิการเช่าตึกพิพาทจากจำเลยมาแล้วจะเข้าอยู่ในตึกพิพาทได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องระหว่างกรมการศาสนากับโจทก์ ไม่เกี่ยวกับสิทธิการเช่าที่โจทก์ได้มาโดยการขายทอดตลาดตามวิธีการบังคับคดีแต่ประการใดโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าที่ได้มาจากการบังคับคดี: โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
โจทก์ได้ซื้อสิทธิการเช่าตึกของจำเลยที่ได้ทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาที่ยังไม่หมดอายุการเช่าจากการขายทอดตลาดที่จำเลยถูกบังคับคดี ถือได้ว่าโจทก์ได้สิทธิการเช่าตึกตามสัญญาที่จำเลยทำต่อกรมการศาสนามาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ในตึกพิพาทต่อไป โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1165/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่า, พยายามฆ่า, การป้องกันตัว, และฎีกาต้องห้าม: กรณีวิวาทและใช้อาวุธทำร้าย
จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุด่าผู้เสียหายก่อน เมื่อผู้เสียหายเข้าไปสอบถามจำเลย จึงเกิดการโต้เถียงกัน หลังจากนั้นทั้งจำเลยและผู้เสียหายต่างใช้อาวุธเข้าทำร้ายกัน ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าจำเลยสมัครใจวิวาทต่อสู้กับผู้เสียหาย การที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายจึงไม่เป็นการป้องกันตัว จำเลยใช้มีดปลายแหลมใบมีดยาวประมาณ 4 นิ้ว แทงผู้เสียหาย3 ที ถูกที่บริเวณทรวงอกด้านซ้าย 3 แห่ง บาดแผลทะลุเข้าช่องปอดด้านซ้ายทั้ง 3 แห่ง มีเลือดออกในช่องปอดต้องใส่สายระบายเลือดออกจากปอด ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันทีอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาความผิดต่อชีวิตแต่ไม่มีหลักฐานการแจ้งข้อหาแก่จำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นเพียงการเถียงข้อเท็จจริงว่า พนักงานสอบสวนยังมิได้แจ้งข้อหาพยายามฆ่าแก่จำเลย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพิเศษในการโกงเจ้าหนี้ การชำระหนี้โดยชอบด้วยกฎหมายไม่ถือเป็นความผิด
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือผู้อื่นได้รับชำระหนี้ จำเลยเป็นหนี้ธนาคารเป็นเงิน 696,252.59 บาท โดยจำเลยเอาที่ดินจำนองเป็นประกันธนาคารเจ้าหนี้ได้เร่งรัดให้จำเลยชำระหนี้จำเลยจึงได้ขายที่ดินที่จำนองให้แก่ ก. ไปในราคา 700,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่าความเป็นจริง แล้วนำเงินนั้นชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเจ้าหนี้อันเป็นการชำระหนี้ที่จำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องปฏิบัติ แม้จะเป็นการขายภายหลังจากจำเลยทราบว่าเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาแล้วก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยขายที่ดินโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบายน้ำจากที่สูงสู่ที่ต่ำ และสิทธิของเจ้าของที่ดินในการรักษาสภาพเดิม
ที่ดินของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นที่ลุ่มอยู่ต่ำกว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเจ็ด จำต้องรับน้ำซึ่งไหลตามธรรมดาจากที่ดินสูงมาในที่ดินของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1339 วรรคแรกและจำต้องรับน้ำซึ่งไหลเพราะระบายจากที่ดินสูงมาในที่ดินของตนเพราะก่อนหน้านี้น้ำจากบริเวณที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นที่สูงก็ได้ระบายไหลเข้ามาในที่ดินของจำเลยทั้งสองในบริเวณที่พิพาทตามธรรมดาอยู่แล้วดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1340 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อจำเลยทั้งสองใช้ดินกลบลำรางในที่พิพาทเป็นเหตุให้น้ำท่วมนาของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดจนได้รับความเดือดร้อนเสียหายเช่นนี้ โจทก์ทั้งสิบเจ็ดย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองทำที่พิพาทให้เป็นลำรางระบายน้ำตามเดิมได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในบริเวณทุ่งใหญ่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเพราะจำเลยทั้งสองใช้ดินกลบลำรางระบายน้ำซึ่งเป็นทางระบายน้ำที่ไหลจากบริเวณที่ดินโจทก์ทั้งสิบเจ็ดผ่านลำรางดังกล่าวไปสู่บึงน้ำสาธารณะมานาน 40 ถึง50 ปีแล้ว เป็นทางภารจำยอม อันเป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดที่จะใช้ลำรางระบายน้ำนั้นได้โดยไม่ให้จำเลยทั้งสองปิดกั้น ซึ่งในคดีแพ่งนั้นโจทก์ไม่จำเป็นจะต้องยกบทกฎหมายขึ้นกล่าวอ้าง เพียงแต่บรรยายข้อเท็จจริงและมีคำขอบังคับก็เป็นเพียงพอแล้ว ส่วนบทกฎหมายใดจะใช้บังคับแก่คดีย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกมาปรับแก่คดีเอง ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางพิจารณาว่า กรณีเป็นเรื่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1339 วรรคแรก และมาตรา 1340 วรรคแรก ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ว่ากรณีเป็นเรื่องดังกล่าวได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า หากจำเลยทั้งสองไม่ร่วมกันขุดเปิดลำรางก็ให้โจทก์ทั้งสิบเจ็ดดำเนินการเองโดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแทน ไม่ชอบด้วยวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์ทั้งสิบเจ็ดชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบายน้ำในที่ดินของผู้อื่น: สิทธิของเจ้าของที่ดินสูงกว่า และการบังคับคดี
เมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงแล้วว่า โจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในบริเวณทุ่งใหญ่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเพราะจำเลยทั้งสองใช้ดินกลบลำรางระบายน้ำซึ่งเป็นทางระบายน้ำที่ไหลจากบริเวณที่ดินโจทก์ทั้งสิบเจ็ดผ่านลำรางดังกล่าวไปสู่บึงน้ำสาธารณะมานาน 40 ถึง 50 ปีแล้วอันเป็นทางภารจำยอมก็เป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ที่จะใช้ลำรางระบายน้ำนั้นได้โดยไม่ให้จำเลยปิดกั้น เมื่อได้ความตามทางพิจารณาว่า กรณีเป็นเรื่องที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นที่ลุ่มจำต้องรับน้ำซึ่งไหลและระบายตามธรรมดาจากที่สูงมาในที่ดินของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1339 วรรคแรก และมาตรา 1340 วรรคแรก ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ว่ากรณีเป็นเรื่องดังกล่าว ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นแต่คำพิพากษาของศาลล่างที่พิพากษาว่า หากจำเลยทั้งสองไม่ร่วมกันขุดเปิดลำรางก็ให้โจทก์ทั้งสิบเจ็ดดำเนินการเองโดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแทนนั้น ไม่ชอบด้วยวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์ชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้ และเมื่อกรณีมิใช่เรื่องภารจำยอมก็ไม่ต้องมีการจดทะเบียนภารจำยอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเงินกู้ที่ไม่มีการขีดฆ่าแสตมป์ แม้ปิดแสตมป์ครบถ้วน ก็ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้
ในคดีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าจำเลยขาดนัดไม่ได้ ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายด้วย
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมจะต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลรัษฎากรว่า จะต้องปิดแสตมป์ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดและขีดฆ่าแสตมป์แล้ว เมื่อปรากฏว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินแม้จะปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราที่กฎหมายกำหนด แต่ไม่ได้มีการขีดฆ่าแสตมป์ ซึ่งตามบทบัญญัติ มาตรา118 แห่งประมวลรัษฎากรห้ามมิให้ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง โจทก์จึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมมาฟ้องร้องบังคับจำเลยได้
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมจะต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลรัษฎากรว่า จะต้องปิดแสตมป์ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดและขีดฆ่าแสตมป์แล้ว เมื่อปรากฏว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินแม้จะปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราที่กฎหมายกำหนด แต่ไม่ได้มีการขีดฆ่าแสตมป์ ซึ่งตามบทบัญญัติ มาตรา118 แห่งประมวลรัษฎากรห้ามมิให้ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง โจทก์จึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมมาฟ้องร้องบังคับจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเงินกู้ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายภาษีอากร ทำให้ไม่มีผลผูกพันทางแพ่ง
ในคดีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่า จำเลยขาดนัดไม่ได้ จะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายด้วย การกู้ยืมเงินเกินกว่าห้าสิบบาท ต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมและหนังสือสัญญากู้ยืมจะต้องปิดแสตมป์ตามอัตราที่ประมวลรัษฎากรกำหนดและขีดฆ่าแล้วหากไม่มีการขีดฆ่าแสตมป์ ถือว่าไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ซึ่งห้ามมิให้ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง ผู้กู้จึงไม่ต้องรับผิดและผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิดด้วย