พบผลลัพธ์ทั้งหมด 617 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 915/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินก่อนได้รับการจัดสรรสิทธิ ไม่ถือเป็นการบุกรุก
ผู้เสียหายได้รับการจัดสรรจากทางราชการให้เป็นผู้มีสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท แต่ยังไม่เคยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์แต่อย่างใด เพราะจำเลยทั้งสองครอบครองอยู่ก่อนและไม่ยอมออกไป การที่จำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อนแล้วและไม่ยอมออกไปจากที่พิพาทเช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 915/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินก่อนได้รับสิทธิจากราชการ ไม่ถือเป็นเจตนาบุกรุก
ผู้เสียหายได้รับอนุญาตจากทางราชการให้เป็นผู้มีสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ แต่ยังไม่เคยได้เข้าครอบครอง เพราะจำเลยครอบครองอยู่ก่อนแล้วและไม่ยอมออกไปยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 840/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: ทุนทรัพย์เกิน & ประเด็นใหม่, ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
โจทก์จำเลยโต้เถียงกันว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อปรากฏว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท คดีโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12)พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ปัญหาว่า บิดาโจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ได้แจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)และครอบครองต่อเนื่องตลอดมา เป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ทางราชการหรือประชาชนจะกล่าวอ้างว่าเป็นหนองน้ำสาธารณะใช้ประโยชน์ร่วมกันหาได้ไม่ เป็นฎีกาข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 840/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทรัพย์สิน: ทุนทรัพย์เกินกำหนดและประเด็นใหม่
โจทก์จำเลยโต้เถียงกันว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อปรากฎว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท คดีโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคแรก ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.พ.(ฉบับที่ 12) พ.ศ.2534 มาตรา 18
ปัญหาว่า บิดาโจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก่อนใช้ประมวล-กฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ได้แจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) และครอบครองต่อเนื่องตลอดมา เป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ทางราชการหรือประชาชนจะกล่าวอ้างว่าเป็นหนองน้ำสาธารณะใช้ประโยชน์ร่วมกันหาได้ไม่เป็นฎีกาข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เป็นฎีกาต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249
ปัญหาว่า บิดาโจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก่อนใช้ประมวล-กฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ได้แจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) และครอบครองต่อเนื่องตลอดมา เป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ทางราชการหรือประชาชนจะกล่าวอ้างว่าเป็นหนองน้ำสาธารณะใช้ประโยชน์ร่วมกันหาได้ไม่เป็นฎีกาข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เป็นฎีกาต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 630/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำละเมิดของลูกจ้างในทางการที่จ้าง แม้มีเหตุส่วนตัว
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตจากส.ผู้จัดการห้างจำเลยที่ 2 ออกไปจากสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 2 เพื่อทำธุรกิจให้กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงได้นำรถยนต์ออกไปใช้งานในวันนั้นจำเลยที่ 1 ได้เอารถยนต์พาภรรยาและบุตรไปแวะเยี่ยมบิดาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วย และขากลับจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ไปชนรถจักรยานยนต์ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บก็ถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 628/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพและการพิจารณาความผิดฐานต่างๆ ศาลฎีกายกฟ้องฐานพรากผู้เยาว์และยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมขอให้การใหม่รับสารภาพศาลชั้นต้นจดคำให้การจำเลยที่รับสารภาพขึ้นใหม่ การที่ตัวจำเลยได้ลงชื่อในฐานะจำเลยลงในคำให้การและในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลต่อหน้าศาลชั้นต้นนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนายื่นคำร้องให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ใหม่ต่อศาลด้วยตัวของจำเลยโดยไม่ประสงค์ให้ทนายความที่แต่งตั้งทำแทนซึ่งย่อมกระทำได้เพราะทนายความที่จำเลยแต่งตั้งนั้นตามกฎหมายเพียงให้เข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลในฐานะตัวแทนของจำเลยเท่านั้น ฟ้องโจทก์ระบุว่า ผู้เสียหายอายุ 11 ปี 10 เดือน ทางพิจารณาปรากฏว่าผู้เสียหายอายุ 14 ปี 10 เดือน 16 วัน เมื่อตามฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 277 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสามซึ่งตามวรรคแรกได้ระบุอายุของผู้เสียหายไว้ไม่เกิน 15 ปีข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องอายุของผู้เสียหายจึงไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง การที่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นการรับสารภาพว่าจำเลยได้กระทำตามฟ้องจริง ส่วนการกระทำตามฟ้องจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อหาความผิดฐานพรากผู้เยาว์แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยมิได้มีเจตนาพรากผู้เสียหายไปจากผู้ปกครอง ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องในข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215,225 ที่จำเลยฎีกาว่า ลายมือชื่อผู้ร้องทุกข์ในบันทึกคำร้องทุกข์หรือกล่าวโทษในคดีนี้เป็นลายมือชื่อปลอมนั้น เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 628/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพของจำเลยที่ทำเองโดยไม่ผ่านทนาย และการพิจารณาอายุผู้เสียหายในคดีกระทำชำเรา
แม้ตามคำร้องและคำให้การรับสารภาพกระทำผิดตามฟ้องโจทก์ของจำเลยมิได้มีทนายความผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยเป็นผู้เรียง แต่จำเลยได้ลงชื่อในฐานะเป็นผู้เรียงด้วยตนเอง และในวันเดียวกันตัวจำเลยก็ได้แถลงต่อศาลชั้นต้นขอถอนคำให้การที่เคยปฏิเสธไว้เดิมขอให้การใหม่รับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นได้บันทึกคำให้การให้จำเลยตามความประสงค์ของจำเลย แล้วจำเลยยังได้ขอให้ศาลชั้นต้นบันทึกลงในรายงานกระบวนพิจารณาอีกว่า ข้อความใดของจำเลยเดิมที่เป็นไปในการปฏิเสธจำเลยไม่ติดใจอีกต่อไป โดยจำเลยได้ลงชื่อในฐานะจำเลยในคำให้การและในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลต่อหน้าศาลชั้นต้นแสดงว่า จำเลยมีเจตนายื่นคำร้อง ทำคำให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ใหม่ต่อศาลด้วยตัวของจำเลยโดยไม่ประสงค์ให้ทนายความที่แต่งตั้งทำหน้าที่แทนให้ซึ่งย่อมกระทำได้ ฉะนั้นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น จึงเป็นการชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 60 วรรคแรก ฟ้องโจทก์ระบุว่า ผู้เสียหายอายุ 11 ปี 10 เดือน แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าในขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 14 ปี 10 เดือน 16 วันเมื่อตามฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรกวรรคสองและวรรคสาม ซึ่งตามวรรคแรกได้ระบุอายุของผู้เสียหายไว้ไม่เกิน 15 ปี ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาเกี่ยวกับอายุของผู้เสียหายจึงไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในฟ้อง อันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้ คำรับสารภาพของจำเลยต่อศาลเป็นเรื่องที่รับว่าได้กระทำตามฟ้องเท่านั้น ส่วนการกระทำตามฟ้องจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณา ศาลย่อมยกฟ้องโจทก์ในข้อหาที่ฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดได้ตามป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคแรก ประกอบมาตรา 215 และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ และการซื้อขายโดยไม่สุจริต
เดิมที่พิพาทเป็นของ ข. แต่ ส. มีชื่อในฐานะเจ้าของในโฉนดที่ดิน ข. พูดยกที่พิพาทให้จำเลยครอบครองทำนาตั้งแต่จำเลยแต่งงาน และได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ทั้งก่อนโจทก์จะซื้อที่พิพาทจาก ส. โจทก์ก็ทราบดีว่าจำเลยปลูกบ้านบนที่พิพาท โจทก์จึงรู้แล้วว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ถือไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายเมื่อผู้ขายไม่ปฏิบัติตามสัญญา และผลของการบอกเลิกสัญญา
จำเลยไม่ปฎิบัติตามสัญญาซื้อขายดินลูกรังข้อ 8 วรรคแรก ที่ว่าเมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้แล้ว ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อ หรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามสัญญาข้อ 8วรรคแรกนั้น แต่โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาอีกหลายครั้งและแจ้งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าปรับรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสองของราคาของที่ยังไม่ได้ส่งมอบนับตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดอายุสัญญาจนถึงวันที่โจทก์แจ้งให้ทราบไปชำระแก่โจทก์ตามที่ระบุในสัญญาข้อ 9 วรรคแรก ฝ่ายจำเลยที่ 1 ก็มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่ายังเป็นฤดูฝนไม่สามารถส่งดินลูกรังให้ได้ หากส่งได้เมื่อใดจะดำเนินการให้ทันที แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยังมีเจตนาที่จะขายสินค้าให้โจทก์ต่อไปกรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 แต่ยังให้โอกาสจำเลยที่ 1 ส่งมอบดินลูกรังได้อีก หากจำเลยที่ 1 ส่งมอบดินลูกรังให้โจทก์ภายในเวลาที่โจทก์กำหนด ย่อมเป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 ที่จะไม่ถูกริบเงินประกันสัญญาจำนวน35,880 บาท เพราะโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 วรรคสอง เพียงแต่จำเลยที่ 1 จะถูกปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสองของราคาดินลูกรังที่ยังไม่ได้ส่งมอบตามสัญญาข้อ 9 วรรคแรกเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินจำนวนน้อยกว่าเงินประกันสัญญา แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยอมส่งมอบดินลูกรังที่โจทก์ทวงถามไป โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 9 วรรคสาม ซึ่งโจทก์มีสิทธิริบเงินประกันกับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาของที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งค่าปรับ จำเลยที่ 1 เป็นรายวันจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ซื้อในการบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าปรับรายวันเมื่อผู้ขายผิดสัญญาซื้อขาย
จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายดินลูกรัง ข้อ 8 วรรคแรก ที่ว่าเมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้แล้วถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อ หรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวนผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อ มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามสัญญาข้อ 8 วรรคแรกนั้น แต่โจทก์ ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาอีกหลายครั้งและแจ้งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าปรับรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสองของราคาของที่ยังไม่ได้ส่งมอบนับตั้งแต่วันถัดจาก วันครบกำหนดอายุสัญญาจนถึงวันที่โจทก์แจ้งให้ทราบไปชำระ แก่โจทก์ตามที่ระบุในสัญญาข้อ 9 วรรคแรก ฝ่ายจำเลยที่ 1 ก็มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่ายังเป็นฤดูฝนไม่สามารถส่ง ดินลูกรังให้ได้ หากส่งได้เมื่อใดจะดำเนินการให้ทันที แสดงว่า จำเลยที่ 1 ยังมีเจตนาที่จะขายสินค้าให้โจทก์ต่อไป กรณีจึง เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 แต่ยังให้โอกาสจำเลยที่ 1 ส่งมอบดินลูกรังได้อีกหากจำเลยที่ 1 ส่งมอบดินลูกรังให้โจทก์ภายในเวลาที่โจทก์กำหนด ย่อมเป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 ที่จะไม่ถูกริบเงินประกันสัญญาจำนวน 35,880 บาท เพราะโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 วรรคสอง เพียงแต่จำเลยที่ 1จะถูกปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละศูนย์จุดสองของราคาดินลูกรังที่ยังไม่ได้ส่งมอบตามสัญญาข้อ 9 วรรคแรกเท่านั้นซึ่งเป็นเงินจำนวนน้อยกว่าเงินประกันสัญญา แต่เมื่อจำเลยที่ 1ไม่ยอมส่งมอบดินลูกรังที่โจทก์ทวงถามไป โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 9 วรรคสาม ซึ่งโจทก์มีสิทธิริบเงินประกันกับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาของที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าปรับ จำเลยที่ 1 เป็นรายวันจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วย