พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1937/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานล่าช้า: เหตุสมควร & การอนุญาตศาล
แม้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในเวลากำหนด ป.วิ.พ.มาตรา 88 วรรคท้าย ก็มิได้ตัดโอกาสที่จะยื่นบัญชีระบุพยานเสียทีเดียว คงให้โอกาสแก่คู่ความฝ่ายที่มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานได้ หากปรากฏตามคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานว่ามีเหตุสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ และถ้าศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นที่จะต้องสืบพยานเช่นว่านั้น ศาลก็อนุญาตตามคำร้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานอ้างเหตุว่า ส.ทนายความคนก่อนของโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนตัวออกจากเป็นทนายความโดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ เป็นเหตุให้ ส.ยุติการปฏิบัติหน้าที่ของทนายความตั้งแต่วันนั้นและจากวันดังกล่าว ส.ก็ไม่ได้มาศาล ดังนี้เมื่อการไม่ยื่นบัญชีระบุพยานเป็นความบกพร่องของทนายความซึ่งโจทก์ไม่อาจทราบได้ จึงนับว่ามีเหตุอันสมควรที่โจทก์ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดได้ และเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นที่กำหนดไว้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม ทั้งจำเลยก็ไม่ได้สืบพยานแต่ประการใดกรณีไม่อาจทำให้จำเลยเสียเปรียบ จึงชอบที่รับบัญชีระบุพยานโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานอ้างเหตุว่า ส.ทนายความคนก่อนของโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนตัวออกจากเป็นทนายความโดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ เป็นเหตุให้ ส.ยุติการปฏิบัติหน้าที่ของทนายความตั้งแต่วันนั้นและจากวันดังกล่าว ส.ก็ไม่ได้มาศาล ดังนี้เมื่อการไม่ยื่นบัญชีระบุพยานเป็นความบกพร่องของทนายความซึ่งโจทก์ไม่อาจทราบได้ จึงนับว่ามีเหตุอันสมควรที่โจทก์ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดได้ และเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นที่กำหนดไว้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม ทั้งจำเลยก็ไม่ได้สืบพยานแต่ประการใดกรณีไม่อาจทำให้จำเลยเสียเปรียบ จึงชอบที่รับบัญชีระบุพยานโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพของจำเลยและการพิจารณาคดีใหม่ ศาลฎีกาเห็นควรย้อนสำนวนเพื่อพิพากษาใหม่
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องแล้ว ต่อมาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า ศาลได้อ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยเข้าใจแล้ว จำเลยแถลงสู้คดีและจะให้การวันนัดพิจารณา ครั้นถึงวันนัดพิจารณา จำเลยยื่นคำให้การ 1 ฉบับ พร้อมกับคำร้องอีก 1 ฉบับ โดยในคำให้การระบุว่า จำเลยทราบฟ้องของโจทก์แล้ว ขอรับสารภาพในการกระทำความผิดตามฟ้องในข้อหารับของโจร ตาม ป.อ.มาตรา 357 เพียงข้อหาเดียว ขอปฏิเสธข้อหาลักทรัพย์ส่วนคำร้องที่ยื่นมาพร้อมกันนั้น แม้จะมีข้อความซึ่งมีความหมายว่าจำเลยไม่รู้ว่าทรัพย์ที่รับไว้ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ก็ตาม แต่ก็เป็นข้อความในคำร้องที่จำเลยยื่นเข้ามาเพื่ออ้างเหตุให้ศาลรอการลงโทษเท่านั้น ไม่ใช่คำให้การว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิด และเมื่อศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยในวันเดียวกันนั้น จำเลยก็ยืนยันตามคำให้การที่รับสารภาพฐานรับของโจรดังกล่าว ปรากฏตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในคำให้การจำเลย นอกจากนี้ศาลชั้นต้นยังจดรายงานกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าวโดยระบุว่า จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ไม่ต่อสู้คดี ขอให้ลงโทษสถานเบา ซึ่งจำเลยก็ลงชื่อไว้อีก เช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดแล้วว่า จำเลยยืนยันที่จะให้การรับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นได้พิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อให้พิจารณาใหม่โดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกาเห็นควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป
ศาลชั้นต้นได้พิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อให้พิจารณาใหม่โดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกาเห็นควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพของจำเลยและการพิจารณาคดี ศาลอุทธรณ์มิชอบที่ยกคำพิพากษาโดยไม่วินิจฉัยประเด็นอุทธรณ์
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องแล้วต่อมาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าศาลได้อ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยเข้าใจแล้วจำเลยแถลงสู้คดีและจะให้การวันนัดพิจารณาครั้นถึงวันนัดพิจารณาจำเลยยื่นคำให้การ1ฉบับพร้อมกับคำร้องอีก1ฉบับโดยในคำให้การระบุว่าจำเลยทราบฟ้องของโจทก์แล้วขอรับสารภาพในการกระทำความผิดตามฟ้องในข้อหารับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา357เพียงข้อหาเดียวขอปฏิเสธข้อหาลักทรัพย์ส่วนคำร้องที่ยื่นมาพร้อมกันนั้นแม้จะมีข้อความซึ่งมีความหมายว่าจำเลยไม่รู้ว่าทรัพย์ที่รับไว้ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ก็ตามแต่ก็เป็นข้อความในคำร้องที่จำเลยยื่นเข้ามาเพื่ออ้างเหตุให้ศาลรอการลงโทษเท่านั้นไม่ใช่คำให้การว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดและเมื่อศาลชั้นต้นได้สอบถามคำเลยในวันเดียวกันนั้นจำเลยก็ยืนยันตามคำให้การที่รับสารภาพฐานรับของโจรดังกล่าวปรากฏตามที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในคำให้การจำเลยนอกจากนี้ศาลชั้นต้นยังจดรายงานกระบวนพิจารณาในวันดังกล่าวในระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรไม่ต่อสู้คดีขอให้ลงโทษสถานเบาซึ่งจำเลยก็ลงชื่อไว้อีกเช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดแล้วว่าจำเลยยืนยันที่จะให้การรับสารภาพฐานรับของโจรตามฟ้อง ศาลชั้นต้นได้พิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อให้พิจารณาใหม่โดยไม่วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลฎีกาเห็นควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1798/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งบรรจุเฮโรอีนเข้าข่ายความผิดฐาน 'ผลิต' ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด และการลงโทษกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมาตรา4ให้คำนิยาม"ผลิต"ไว้ว่าหมายความรวมตลอดถึงการแบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุด้วยคดีนี้ได้ความว่าจำเลยเทเฮโรอีนจากแผ่นกระดาษบรรจุใส่ลงในหลอดพลาสติกทรงกลมลักษณะคล้ายขวดอันเป็นการจัดเตรียมแบ่งเฮโรอีนออกเป็นส่วนย่อยทั้งยังมีถุงพลาสติกเปล่าขนาดเล็กวางอยู่บนเตียงนอนเป็นการกระทำเพื่อการสะดวกในการจัดจำหน่ายนั่นเองพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการ"ผลิต"ตามความหมายของมาตรา4แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยผลิตเฮโรอีนและมีเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมาตรา65วรรคหนึ่งนอกจากนี้การที่จำเลยถูกจับขณะกำลังเทเฮโรอีนบรรจุใสในหลอดพลาสติกพร้อมเฮโรอีนบรรจุหลอดพลาสติกเฮโรอีนที่เททิ้งบนพื้นและถุงพลาสติกของกลางนั้นเป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยเมื่อเฮโรอีนดังกล่าวเป็นจำนวนเดียวกันเฮโรอีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1771/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าจากเหตุแยกกันอยู่เกิน 3 ปี และการแก้ไขคำพิพากษาเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
โจทก์จำเลยได้แยกกันอยู่โดยมิได้อยู่กินฉันสามีภรรยาตั้งแต่พ.ศ.2531 ระหว่างที่โจทก์แยกไปนั้นจำเลยเองก็ทราบดีว่าโจทก์ไปพักอยู่ที่ใดแต่จำเลยก็มิได้ขวนขวายที่จะไปอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยต่างคนต่างอยู่นับถึงวันฟ้องเป็นเวลานานถึง 6 ปี ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้
คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งคือวันที่ 5 เมษายน 2537 จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลยเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องคือวันที่ 14 มกราคม 2537 จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่จำเลยฟ้องแย้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งคือวันที่ 5 เมษายน 2537 จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลยเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องคือวันที่ 14 มกราคม 2537 จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่จำเลยฟ้องแย้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1771/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าเนื่องจากแยกกันอยู่โดยสมัครใจเกิน 3 ปี และการแก้ไขคำพิพากษาเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
โจทก์จำเลยได้แยกกันอยู่โดยมิได้อยู่กินฉันสามีภรรยาตั้งแต่พ.ศ.2531ระหว่างที่โจทก์แยกไปนั้นจำเลยเองก็ทราบดีกว่าโจทก์ไปพักอยู่ที่ใดแต่จำเลยก็มิได้ขวยขวายที่จะไปอยู่กันฉันสามีภรรยาโดยต่างคนต่างอยู่นับถึงวันฟ้องเป็นเวลานานถึง6ปีตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ5,000บาทนับแต่วันฟ้องแย้งคือวันที่5เมษายน2537จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลยเดือนละ5,000บาทนับแต่วันฟ้องคือวันที่14มกราคม 2537จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่จำเลยฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1771/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าเนื่องจากแยกกันอยู่โดยสมัครใจเกิน 3 ปี และประเด็นการแก้ไขคำพิพากษาเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
โจทก์จำเลยได้แยกกันอยู่โดยมิได้อยู่กินฉันสามีภรรยาตั้งแต่ พ.ศ. 2531 ระหว่างที่โจทก์แยกไปนั้นจำเลยเองก็ทราบดีกว่าโจทก์ไปพักอยู่ที่ใดแต่จำเลยก็มิได้ขวยขวายที่จะไปอยู่กันฉันสามีภรรยา โดยต่างคนต่างอยู่นับถึงวันฟ้องเป็นเวลานานถึง 6 ปี ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งคือวันที่5 เมษายน 2537 จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลยเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องคือวันที่ 14 มกราคม 2537จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่จำเลยฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1725/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของกรรมสิทธิ์ถนน vs. สิทธิผู้เช่า: การใช้ถนนต้องไม่ทำให้ทรัพย์สินชำรุด และต้องพิจารณาประเภทการค้า
จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ถนนพิพาทและตึกแถวที่โจทก์เช่า จึงมีสิทธิที่จะให้ใครใช้ถนนพิพาทหรือไม่ก็ได้ ส่วนการที่โจทก์มีสิทธิใช้ถนนพิพาทก็เนื่องจากโจทก์เป็นผู้เช่าตึกแถวของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ริมถนนพิพาท แต่ผู้เช่าจำต้องสงวนทรัพย์สินที่เช่าเสมอกับที่วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง และต้องบำรุงรักษาทั้งทำการซ่อมแซมเล็กน้อยด้วยตาม ป.พ.พ.มาตรา 553 โจทก์จึงต้องสงวนถนนพิพาท เมื่อการให้รถบรรทุก 6 ล้อ และ 10 ล้อ แล่นเข้ามาในถนนพิพาทเป็นเหตุให้ถนนพิพาทชำรุดเร็วยิ่งขึ้น ดังนี้ การที่จำเลยปิดกั้นถนนพิพาทและห้ามโจทก์ใช้รถบรรทุก 10 ล้อของโจทก์วิ่งผ่านจึงเป็นการสมควรแล้ว และแม้ในสัญญาเช่าจะระบุว่าให้เช่าตึกแถวเพื่อการค้าและอยู่อาศัยก็ตาม แต่เมื่อสัญญาเช่าไม่ได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าเป็นการค้าขายประเภทใด ซึ่งหากเป็นการตั้งโรงงานใช้รถบรรทุก 10 ล้อ จำเลยอาจไม่ให้เช่าก็ได้ และจำเลยไม่ได้ห้ามเด็ดขาดมิให้รถยนต์แล่นเข้าออกถนนพิพาทเสียทีเดียว รถยนต์ 4 ล้อและรถปิกอัพก็สามารถแล่นเข้ามาได้ เพียงแต่โจทก์ไม่ได้รับความสะดวกเท่านั้นเอง จำเลยจึงไม่ได้ผิดสัญญาเช่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1725/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการใช้ถนนส่วนบุคคลของผู้เช่าและการจำกัดสิทธิเนื่องจากเหตุผลในการสงวนทรัพย์สิน
จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ถนนพิพาทและตึกแถวที่โจทก์เช่า จึงมีสิทธิที่จะให้ใครใช้ถนนพิพาทหรือไม่ก็ได้ ส่วนการที่โจทก์มีสิทธิใช้ถนนพิพาทก็เนื่องจากโจทก์เป็นผู้เช่าตึกแถวของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ริมถนนพิพาท แต่ผู้เช่าจำต้องสงวนทรัพย์สินที่เช่าเสนอกับที่วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง และต้องบำรุงรักษาทั้งการซ่อมแซมเล็กน้อยด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 553 โจทก์จึงต้องสงวนถนนพิพาท เมื่อการให้รถบรรทุก 6 ล้อ และ 10 ล้อ แล่นเข้ามาในถนนพิพาทเป็นเหตุให้ถนนพิพาทชำรุดเร็วยิ่งขึ้น ดังนี้ การที่จำเลยปิดกั้นถนนพิพาทและห้ามโจทก์ใช้รถบรรทุก 10 ล้อของโจทก์วิ่งผ่านจึงเป็นการสมควรแล้ว และแม้ในสัญญาเช่าจะระบุว่าให้เช่าตึกแถวเพื่อการค้าและอยู่อาศัยก็ตาม แต่เมื่อสัญญาเช่าไม่ได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าเป็นการค้าขายประเภทใด ซึ่งหากเป็นการตั้งโรงงานใช้รถบรรทุก 10 ล้อ จำเลยอาจไม่ให้เช่าก็ได้ และจำเลยไม่ได้ห้ามเด็ดขาดมิให้รถยนต์แล่นเข้าออกถนนพิพาทเสียทีเดียวรถยนต์ 4 ล้อและรถปิกอัพก็สามารถแล่นเข้ามาได้ เพียงแต่โจทก์ไม่ได้รับความสะดวกเท่านั้นเอง จำเลยจึงไม่ได้ผิดสัญญาเช่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพรางซื้อขาย, อายุความมรดก: การฟ้องแบ่งมรดกต้องทำภายใน 1 ปีนับจากทราบการตาย
ตามคำให้การจำเลยที่ให้การต่อสู้ว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ยกที่พิพาทให้ ศ. แต่เป็นการขายที่พิพาทให้ ช. โดยให้ ศ.ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทน เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ได้ทำนิติกรรมยกให้อำพรางนิติกรรมการซื้อขายต้องบังคับตามนิติกรรมซื้อขายที่ถูกอำพรางไว้ นิติกรรมการยกให้เป็นการแสดงเจตนาลวงย่อมตกเป็นโมฆะ สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์เช่นนี้ จำเลยจึงนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 94 วรรคท้าย
โจทก์ที่ 1 ได้ขายที่พิพาทให้ ช.สามี ศ.เจ้ามรดก ที่พิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่าง ช.กับ ศ. เมื่อ ศ.ถึงแก่ความตาย การสมรสสิ้นสุดลงสินสมรสย่อมแยกกันตามกฎหมาย และตกเป็นมรดกของ ศ.กึ่งหนึ่ง ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกคือ โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาของ ศ. และจำเลยซึ่งเป็นบุตร รวมทั้งช.สามีเจ้ามรดกได้คนละส่วนเท่ากัน โจทก์ทั้งสองต้องฟ้องแบ่งมรดกภายใน 1 ปีนับแต่วันทราบถึงการตายของเจ้ามรดก ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1754 วรรคหนึ่งโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2536 คดีจึงขาดอายุความแล้ว
โจทก์ที่ 1 ได้ขายที่พิพาทให้ ช.สามี ศ.เจ้ามรดก ที่พิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่าง ช.กับ ศ. เมื่อ ศ.ถึงแก่ความตาย การสมรสสิ้นสุดลงสินสมรสย่อมแยกกันตามกฎหมาย และตกเป็นมรดกของ ศ.กึ่งหนึ่ง ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกคือ โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาของ ศ. และจำเลยซึ่งเป็นบุตร รวมทั้งช.สามีเจ้ามรดกได้คนละส่วนเท่ากัน โจทก์ทั้งสองต้องฟ้องแบ่งมรดกภายใน 1 ปีนับแต่วันทราบถึงการตายของเจ้ามรดก ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1754 วรรคหนึ่งโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2536 คดีจึงขาดอายุความแล้ว