คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมปอง เสนเนียม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9145/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติมเนื่องจากจำเลยประวิงคดีและพยานที่เสนอไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อพิพาท
ในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดแรกจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเข้าสืบได้1ปากแล้วแถลงว่าพยานอื่นไม่มาศาลโดยไม่ทราบเหตุขัดข้องขอเลื่อนหากนัดหน้ามีพยานมาศาลเพียงใดก็ติดใจสืบเพียงเท่าที่มาศาลครั้นถึงวันนัดต่อมาจำเลยนำพยานเข้าสืบได้1ปากแล้วแถลงว่ายังติดใจสืบพยานที่เหลือนัดหน้าหากพยานมาศาลเท่าใดก็จะติดใจสืบเท่าที่มาศาลศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมอนุญาตให้สืบพยานจำเลยต่อไปอีกตามที่ขอโดยกำชับว่านัดหน้ามีพยานมาเท่าใดก็จะสืบเพียงเท่านั้นครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยขอถอนตัวจำเลยแถลงว่ายังหาทนายคนใหม่ไม่ได้ประกอบกับพยานที่ขอหมายเรียกไว้ไม่มาศาลขอเลื่อนศาลชั้นต้นเห็นควรให้โอกาสจำเลยอีกนัดหนึ่งโดยกำชับให้แต่งทนายคนใหม่เข้ามาให้พร้อมและหากมีพยานมาศาลเพียงใดก็ให้สืบเพียงเท่านั้นจะไม่ให้เลื่อนคดีไม่ว่าด้วยเหตุใดๆอีกครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยได้อีก1ปากแล้วจำเลยแถลงขอเลื่อนและส่งประเด็นไปสืบบ. ให้ที่ศาลจังหวัดปากพนัง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุอันควรที่จะอนุญาตอีกดังนั้นจำเลยไม่ปฏิบัติตามที่ได้แถลงไว้ต่อศาลตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้โดยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางประวิงคดีให้ชักช้าทั้งเอกสารในคดีอาญาที่จำเลยอ้างก็เป็นเอกสารในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องอ. ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีดังกล่าวจำเลยก็ได้นำอ. มาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้แล้วส่วนว. และบ. ให้นั้นจำเลยประสงค์จะนำสืบเพียงว่าเป็นผู้ที่อ. แนะนำให้กู้เงินจากม. ด้วยหาได้รู้เห็นในการกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยกับม. แต่อย่างใดไม่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมายจ.1ที่โจทก์นำมาฟ้องคือสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้กับม. ใช่หรือไม่จึงไม่ได้เป็นผู้ที่ได้เห็นได้ยินหรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา95(2)ศาลจึงมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นเสียได้ตามมาตรา86วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9145/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงคดีและการงดการสืบพยานเนื่องจากพยานไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นที่สืบ
ในวันนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเข้าสืบได้ 1 ปาก แล้วแถลงว่า พยานอื่นไม่มาศาลโดยไม่ทราบเหตุขัดข้อง ขอเลื่อนหากนัดหน้ามีพยานมาศาลเพียงใดก็ติดใจสืบเพียงเท่าที่มาศาล ครั้นถึงวันนัด ต่อมาจำเลยนำพยานเข้าสืบได้ 1 ปาก แล้วแถลงว่ายังติดใจสืบพยานที่เหลือนัดหน้าหากพยานมาศาลเท่าใดก็จะติดใจสืบเท่าที่มาศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม อนุญาตให้สืบพยานจำเลยต่อไปอีกตามที่ขอโดยกำชับว่านัดหน้ามีพยานมาเท่าใดก็จะสืบเพียงเท่านั้น ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยขอถอนตัว จำเลยแถลงว่ายังหาทนายคนใหม่ไม่ได้ ประกอบกับพยานที่ขอหมายเรียกไว้ไม่มาศาลขอเลื่อน ศาลชั้นต้นเห็นควรให้โอกาสจำเลยอีกนัดหนึ่งโดยกำชับให้แต่งทนายคนใหม่เข้ามาให้พร้อมและหากมีพยานมาศาลเพียงใดก็ให้สืบเพียงเท่านั้น จะไม่ให้เลื่อนคดีไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ อีก ครั้นถึงวันนัด สืบพยานจำเลยได้อีก 1 ปาก แล้วจำเลยแถลงขอเลื่อนและส่งประเด็นไปสืบ บ.ให้ที่ศาลจังหวัดปากพนัง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุอันควรที่จะอนุญาตอีก ดังนั้น จำเลยไม่ปฏิบัติตามที่ได้แถลงไว้ต่อศาลตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ โดยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางประวิงคดีให้ชักช้า ทั้งเอกสารในคดีอาญาที่จำเลยอ้างก็เป็นเอกสารในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง อ.ในข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีดังกล่าว จำเลยก็ได้นำ อ.มาเบิกความเป็นพยานในคดีนี้แล้ว ส่วน ว. และบ.ให้นั้นจำเลยประสงค์จะนำสืบเพียงว่าเป็นผู้ที่ อ.แนะนำให้กู้เงินจาก ม.ด้วยหาได้รู้เห็นในการกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยกับ ม.แต่อย่างใดไม่ ไม่สามารถยืนยันได้ว่า สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์นำมาฟ้องคือสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้กับ ม.ใช่หรือไม่ จึงไม่ได้เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 95 (2) ศาลจึงมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นเสียได้ตามมาตรา 86 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9087/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินในเขตนิคมสหกรณ์ที่เป็นโมฆะเนื่องจากข้อห้ามโอน
ขณะโจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทจากจำเลยนั้น โจทก์ไม่ทราบว่ามีข้อกำหนดห้ามโอน นิติกรรมดังกล่าว จึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายย่อมตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ที่ค้างชำระและจำเลยต้อง คืนเงินที่โจทก์ชำระไว้โดยถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7085/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีกับสิทธิของผู้เช่าและผู้รับโอนสิทธิในที่ดินพิพาท ผู้มีสิทธิถูกบังคับคดีคือผู้เช่าเดิม
แม้ผู้ร้องที่ 1 จะมีสิทธิได้รับมรดกในที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1และผู้ร้องที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนทางด้านทิศตะวันออกโดยผู้ร้องที่ 1 มารดายกให้ก็ตาม แต่ในชั้นนี้เป็นชั้นบังคับคดีซึ่งโจทก์ขอให้บังคับแก่จำเลยที่ 1และที่ 2 กับบริวาร เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 รื้อถอนโรงเรือนออกไปแล้ว คงเหลือเพียงบริวารซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 และปลูกสร้างโรงงานในที่ดินพิพาทมาแต่เดิมอันเป็นผู้ที่จะต้องถูกบังคับในคดีนี้ มิใช่ผู้ร้องทั้งสอง ส่วนที่ผู้เช่าทั้งสามดังกล่าวทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากผู้ร้องทั้งสองภายหลังที่ศาลฎีกาพิพากษาแล้วกรณีจะทำให้ผู้เช่าทั้งสามไม่ต้องรื้อถอนโรงงานออกไปหรือไม่เป็นเรื่องที่ผู้เช่าทั้งสามจะต้องเป็นผู้มายื่นคำร้องเพื่อแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296จัตวา (3) ส่วนที่ตามสัญญาเช่าซึ่งผู้เช่าทั้งสามยอมยกสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสองผู้ให้เช่านั้น เป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องทั้งสองกับผู้เช่าที่จะต้องไปว่ากล่าวกันเอง ผู้ร้องทั้งสองไม่มีสิทธิมายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้รื้อถอนโรงเรือนในที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6636/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุป้องกันสิทธิผู้อื่นไม่สำเร็จเมื่อเกิดการต่อสู้ซึ่งหน้าและใช้กำลังเกินความจำเป็น
บ.เพื่อนของจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุโดยใช้ขวดน้ำอัดลมตีทำร้ายร่างกายพวกของผู้ตายก่อนแล้ววิ่งหนีในทันทีทันใดนั้นผู้ตายกับพวกวิ่งไล่ตามแล้วผู้ตายแทงทำร้ายบ.และจำเลยได้แทงทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเกี่ยวพันกันเป็นการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันจำเลยจึงอ้างเหตุป้องกันบ.ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6636/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันและเหตุป้องกัน
บ.เพื่อนของจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุโดยใช้ขวดน้ำอัดลมตีทำร้ายร่างกายพวกของผู้ตายก่อนแล้ววิ่งหนี ในทันทีทันใดนั้นผู้ตายกับพวกวิ่งไล่ตามแล้วผู้ตายแทงทำร้าย บ.และจำเลยได้แทงทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเกี่ยวพันกันเป็นการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จำเลยจึงอ้างเหตุป้องกัน บ.ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6380/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นการครอบครองที่ดินและการฟ้องเรียกคืนภายในอายุความ ศาลฎีกาพิพากษากลับให้จำเลยรื้อถอนและชดใช้ค่าเสียหาย
เดิมศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทไว้ 2 ข้อ ต่อมาได้กำหนดประเด็นพิพาทเพิ่มว่า โจทก์ฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินพิพาทเกิน 1 ปี นับแต่จำเลยครอบครองหรือไม่ โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขอให้เพิกถอนประเด็นที่กำหนดเพิ่ม ถือว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดประเด็นพิพาทเพิ่มแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งคำร้อง ว่าไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงประเด็นพิพาทซึ่งกำหนดไว้แล้ว ให้ยกคำร้องโจทก์ก็ไม่จำต้องโต้แย้งคำสั่งในตอนหลังนี้อีก โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อมาจากผู้อื่นแม้จะต่อสู้ด้วยว่า โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ก็ไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะมีขึ้นได้แต่เฉพาะที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทในเรื่องนี้จึงไม่ชอบ และแม้ศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบต้องห้ามฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5985/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากรถยนต์ การสันนิษฐานสินสมรส และค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิต
จำเลยที่ 3 หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 2แล้ว แต่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เบิกความรับว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุมาระหว่างสมรส ซึ่งแม้มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของในทะเบียนแต่ไม่ได้นำสืบว่าเป็นสินส่วนตัวหรือเป็นสินสมรสต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสเมื่อจำเลยที่ 2เป็นผู้ติดต่อหาคนขับรถและดูแลกิจการโดยทั่วไป บางครั้งได้ให้จำเลยที่ 3 ช่วยดูแลบ้าง รายได้จากการรับจ้างก็แบ่งให้จำเลยที่ 3 เพื่อใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 3ไปเจรจาเรื่องค่าเสียหายกับฝ่ายโจทก์ แสดงว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ยังคงทำกิจการร่วมกันจำเลยที่ 3 จึงเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างโดยประมาทเลินเล่อเฉี่ยวชน ส. ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ทั้งสองจนถึงแก่ความตายด้วย ค่าใช้จ่ายในงานศพ เช่น ค่าดอกไม้ ค่าบุหรี่ถวายพระถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคหนึ่งส่วนเงินที่มีผู้ช่วยทำศพผู้ตายมากน้อยเพียงใดก็นำมาบรรเทาความรับผิดของจำเลยไม่ได้ และเนื่องจากบุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา การที่ผู้ตายตายลงทำให้บิดามารดาต้องขาดไร้อุปการะ จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าปัจจุบันผู้ตายจะได้ อุปการะเลี้ยงดูอยู่หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5983/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมอุทธรณ์: พฤติการณ์พิเศษหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
การประปาส่วนภูมิภาคโจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจอันเป็นหน่วยงานของ รัฐบาล มีระเบียบในการเบิกจ่ายเงินไม่เหมือนหน่วยงานของเอกชน และเมื่อเบิกจ่ายแล้วต้องจัดส่งมายังสำนักงานอัยการสูงสุดซึ่งทำหน้าที่เป็นทนายความย่อมมีความล่าช้าอยู่บ้าง ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมในการยื่นอุทธรณ์ตามคำร้องของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5958/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาลอุทธรณ์ และการตัดสินนอกฟ้อง: การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นเกินขอบเขตคำฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาคใดมีเขตอำนาจเพียงใดจะต้องเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาคพ.ศ.2532และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนที่ตั้งเขตศาลและวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาคพ.ศ.2532กำหนดไว้มิใช่คู่ความเลือกเองได้การที่โจทก์ขออุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค1ซึ่งมิได้มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเห็นได้ว่าเป็นการเข้าใจผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดเมื่อศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์แล้วส่งมายังศาลอุทธรณ์ภาค2ซึ่งมีเขตอำนาจตามกฎหมายศาลอุทธรณ์ภาค2จึงมีอำนาจพิพากษาคดีนี้ได้ ตามคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยที่1และที่2ร่วมกันสั่งซื้อข้าวสารชนิดต่างๆไปจากโจทก์หลายครั้งโดยจำเลยที่1มอบหมายให้จำเลยที่2เป็นผู้มาติดต่อขอซื้อข้าวสารจากโจทก์โจทก์ส่งมอบข้าวสารให้ตามที่จำเลยทั้งสองสั่งซื้อหลายครั้งจำเลยทั้งสองได้รับมอบสินค้าและชำระราคาให้โจทก์แล้วบางส่วนคงค้างชำระอยู่เป็นเงิน1ล้านบาทเศษขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่2กระทำการแทนจำเลยที่1และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1อันพอจะถือได้ว่าจำเลยที่1ได้เชิดจำเลยที่2หรือยอมให้จำเลยที่2เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่1ในการซื้อสินค้าของโจทก์ไปแต่อย่างใดดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยว่าจำเลยที่2เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่1ในการซื้อข้าวสารระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่2ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยนั้นจึงเป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142อันเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา243(1)ประกอบมาตรา247มีเหตุอันสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาใหม่
of 89