พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5906/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง เหตุข้อเท็จจริงใหม่ & ข้อกฎหมายที่ศาลล่างมิได้วินิจฉัย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่าจำเลยขายที่พิพาทให้แก่โจทก์จริงหรือไม่จำเลยมิได้โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไม่ถูกต้องและศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยขายที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนของจำเลยพร้อมทั้งมอบสิทธิการครอบครองให้แก่โจทก์จริงมิใช่จำเลยกู้ยืมจากโจทก์แล้วมอบที่พิพาทให้โจทก์ทำนาต่างดอกเบี้ยดังที่จำเลยต่อสู้จำเลยมิได้ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงดังกล่าวการที่จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมรดกของบิดามารดาจำเลยซึ่งมีบุตร6คนจำเลยจึงไม่มีอำนาจขายที่พิพาทให้แก่โจทก์หากจำเลยขายที่พิพาทก็จะต้องถูกกำจัดไม่ให้ได้รับมรดกและนายใหญ่อาจสูงเนิน เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทโจทก์ไม่มีสิทธิในที่พิพาทไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค1ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อาจรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่าที่พิพาทมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นหลักฐานทางทะเบียนจำเลยขายให้โจทก์โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่การซื้อขายตกเป็นโมฆะนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค1มิได้วินิจฉัยถึงเรื่องที่จำเลยยกขึ้นฎีกาดังกล่าวฎีกาจำเลยจึงมิได้โต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค1ไม่วินิจฉัยปัญหาที่จำเลยยกขึ้นฎีกานั้นไม่ชอบเพราะเหตุและจะมีผลอย่างไรเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5895/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละมรดกที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย และสิทธิในทรัพย์มรดกที่ต้องแบ่งเท่ากัน
เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์เกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่2618และบ้านทรงไทยการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่ดินและบ้านทรงไทยดังกล่าวจึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกฟ้องอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142 การสละมรดกนั้นกระทรวงมหาดไทยได้ออกกฏกระทรวงโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา1672แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไว้เมื่อวันที่28กรกฎาคม2481ข้อ14,15และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ.2495มาตรา40กำหนดให้ผู้อำนวยการเขตหรือนายอำเภอเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจแต่ตามบันทึกถ้อยคำที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำไว้นั้นได้ทำไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดินซึ่งมิใช่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1612บันทึกถ้อยคำนั้นจึงมิใช่เอกสารสละมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5895/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีนอกฟ้องอุทธรณ์ และเอกสารสละมรดกที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์เกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่2618 และบ้านทรงไทย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่ดินและบ้านทรงไทยดังกล่าวจึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกฟ้องอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142
การสละมรดกนั้น กระทรวงมหาดไทยได้ออกกฎกระทรวงโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 1672 แห่ง ป.พ.พ.ไว้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม2481 ข้อ 14, 15 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495มาตรา 40 กำหนดให้ผู้อำนวยการเขตหรือนายอำเภอเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจแต่ตามบันทึกถ้อยคำที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำไว้นั้นได้ทำไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดินซึ่งมิใช่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1612 บันทึกถ้อยคำนั้นจึงมิใช่เอกสารสละมรดก
การสละมรดกนั้น กระทรวงมหาดไทยได้ออกกฎกระทรวงโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 1672 แห่ง ป.พ.พ.ไว้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม2481 ข้อ 14, 15 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495มาตรา 40 กำหนดให้ผู้อำนวยการเขตหรือนายอำเภอเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจแต่ตามบันทึกถ้อยคำที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำไว้นั้นได้ทำไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดินซึ่งมิใช่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1612 บันทึกถ้อยคำนั้นจึงมิใช่เอกสารสละมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5895/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละมรดกที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย และสิทธิในทรัพย์มรดกที่ต้องแบ่งเท่ากันระหว่างทายาท
เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์เกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ 2618 และบ้านทรงไทย การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่ดินและบ้านทรงไทยดังกล่าวจึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกฟ้องอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 การสละมรดกนั้น กระทรวงมหาดไทยได้ออกกฏกระทรวงโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 1672 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไว้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2481 ข้อ 14,15 และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 มาตรา 40 กำหนดให้ผู้อำนวยการเขตหรือนายอำเภอเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจแต่ตามบันทึกถ้อยคำที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำไว้นั้นได้ทำไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดินซึ่งมิใช่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1612 บันทึกถ้อยคำนั้นจึงมิใช่เอกสารสละมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5867/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของรวมและการต่อสู้กับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โดยอ้างการครอบครองปรปักษ์
เดิมนาย ว. นาง ม. และนาง ข. มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท นาย ว. นาง อ. และนาง ข. ถึงแก่กรรมไปแล้ว ที่ดินพิพาทส่วนของนาย ว. จึงเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของนาย ว.โจทก์จึงเป็นผู้เข้าถือกรรมสิทธิ์รวมส่วนของนาย ว. ร่วมกับทายาทของนาง ม.และนาง ข. การที่จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของนาย ว. ร้องต่อศาลชั้นต้นว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียวโดยการครอบครองปรปักษ์ และได้จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งจึงขอใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับจำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 เป็นการใช้สิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมายของโจทก์ ไม่จำเป็นต้องได้รับมอบอำนาจจากนาง ม. และนาง ข.ส่วนการที่โจทก์ขอให้จำเลยโอนที่พิพาทกลับคืนเป็นกรรมสิทธิ์รวมของนาย ว. นาง ม.และนาง ข. มิได้ขอให้โอนกลับคืนแก่โจทก์ก็ตาม แต่เพื่อประโยชน์ที่จะแบ่งปันให้แก่ทายาทบุคคลดังกล่าวรวมทั้งโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ยอม จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์โดยตรง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5710/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีร่วมกันของเจ้าของที่ดินหลายแปลง: ประเด็นวิธีพิจารณาความแพ่งที่มิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
ปัญหาว่าโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างและที่ดินคนละแปลง แต่ร่วมกันฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ เป็นวิธีการดำเนินคดี ไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิใช่ปัญหา อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5710/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรวมของเจ้าของที่ดินหลายแปลง, การครอบครองปรปักษ์, และข้อจำกัดการฎีกาตามทุนทรัพย์
ปัญหาว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างและที่ดินคนละแปลง แต่ร่วมกันฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นวิธีการดำเนินคดี ไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชน แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ แต่ก็มิได้โต้แย้งเมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จึงเป็นข้อกฎหมาย ที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5710/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินและบ้านโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การฟ้องขับไล่ และการกำหนดค่าเสียหาย
++ เรื่อง ขับไล่ ++
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ ขอชุดตรวจได้ที่งานย่อข้อกฎหมายระบบ CW โถงกลางชั้น 3 ++
++
++
++ การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ++
++
++
++ ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติได้ว่า
++ ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 40719,40720 และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้ปลูกอยู่ในที่ดินแปลงละ 1 หลัง มีชื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นเจ้าของคนละหนึ่งโฉนดตามลำดับ ส่วนจำเลยเป็นสามีของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ได้พักอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา
++
++ ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และการที่โจทก์ทั้งสามรวมฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกัน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น
++
++ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 40719, 40720และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้คนละหนึ่งหลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่ละคนตามลำดับ จำเลยเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินดังกล่าวโดยความยินยอมของโจทก์ ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับก็คือ ให้ขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง จึงเป็นคำฟ้องที่ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง กำหนดไว้ ไม่จำต้องบรรยายว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาอย่างใด ตั้งแต่เมื่อใด ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปตั้งแต่เมื่อใด แม้จะถือว่าเป็นวันที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำละเมิด แต่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา และโจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง ไม่ใช่วันทำละเมิด วันเวลาเช่นว่านั้นจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
++ ส่วนฎีกาข้อที่ว่า โจทก์แต่ละคนเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างและที่ดินคนละแปลง แต่ร่วมกันฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่นั้น
++
++ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็มิได้โต้แย้ง จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
++
++ ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามหรือของจำเลย และค่าเสียหายมีเพียงใด คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์แต่ละคนต่างมีกรรมสิทธิ์ในบ้าน และที่ดินคนละโฉนดแยกกันเป็นส่วนสัด ซึ่งตามรูปคดีโจทก์แต่ละคนอาจฟ้องตามส่วนของตนได้โดยลำพัง แม้จะฟ้องรวมกันมาเพราะถือว่าเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่ได้แยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเป็นจำนวนเท่าใดมาชัดเจน ฟ้องแย้งของจำเลยก็ได้แยกทุนทรัพย์ที่เรียกร้องจากโจทก์แต่ละคนมาชัดเจนเช่นกัน จึงต้องพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายแยกกัน เมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
++ จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าไปครอบครองอาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทในฐานะสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ไม่ใช่ด้วยความยินยอมของโจทก์ บ้านและที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ และค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคนน้อยกว่าที่ศาล-อุทธรณ์กำหนด เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ ขอชุดตรวจได้ที่งานย่อข้อกฎหมายระบบ CW โถงกลางชั้น 3 ++
++
++
++ การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ++
++
++
++ ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติได้ว่า
++ ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 40719,40720 และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้ปลูกอยู่ในที่ดินแปลงละ 1 หลัง มีชื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นเจ้าของคนละหนึ่งโฉนดตามลำดับ ส่วนจำเลยเป็นสามีของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ได้พักอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา
++
++ ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกมีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และการที่โจทก์ทั้งสามรวมฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกัน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น
++
++ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 40719, 40720และ 40721 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านไม้คนละหนึ่งหลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่ละคนตามลำดับ จำเลยเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินดังกล่าวโดยความยินยอมของโจทก์ ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับก็คือ ให้ขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง จึงเป็นคำฟ้องที่ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง กำหนดไว้ ไม่จำต้องบรรยายว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาอย่างใด ตั้งแต่เมื่อใด ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปตั้งแต่เมื่อใด แม้จะถือว่าเป็นวันที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำละเมิด แต่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา และโจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้อง ไม่ใช่วันทำละเมิด วันเวลาเช่นว่านั้นจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
++ ส่วนฎีกาข้อที่ว่า โจทก์แต่ละคนเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างและที่ดินคนละแปลง แต่ร่วมกันฟ้องจำเลยเป็นคดีเดียวกันชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่นั้น
++
++ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็มิได้โต้แย้ง จึงเป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น การที่จะเป็นโจทก์ร่วมกันได้หรือไม่เป็นเพียงวิธีการดำเนินคดีไม่ใช่อำนาจฟ้อง จึงมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
++
++ ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยมีว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามหรือของจำเลย และค่าเสียหายมีเพียงใด คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์แต่ละคนต่างมีกรรมสิทธิ์ในบ้าน และที่ดินคนละโฉนดแยกกันเป็นส่วนสัด ซึ่งตามรูปคดีโจทก์แต่ละคนอาจฟ้องตามส่วนของตนได้โดยลำพัง แม้จะฟ้องรวมกันมาเพราะถือว่าเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่ได้แยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเป็นจำนวนเท่าใดมาชัดเจน ฟ้องแย้งของจำเลยก็ได้แยกทุนทรัพย์ที่เรียกร้องจากโจทก์แต่ละคนมาชัดเจนเช่นกัน จึงต้องพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายแยกกัน เมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องและฟ้องแย้งแต่ละรายไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
++ จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าไปครอบครองอาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทในฐานะสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสายสุนีย์ สุวรรณทัต ไม่ใช่ด้วยความยินยอมของโจทก์ บ้านและที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ และค่าเสียหายของโจทก์แต่ละคนน้อยกว่าที่ศาล-อุทธรณ์กำหนด เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5665/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการพิพากษาคดีฉ้อโกง แม้ฟ้องฐานลักทรัพย์ และขอบเขตอำนาจเหนือจำเลยที่ไม่ฎีกา
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกันฉ้อโกงได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192วรรคสามและวรรคห้า และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยซึ่งมิได้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5665/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เปลี่ยนแปลงข้อหาจากลักทรัพย์เป็นฉ้อโกง: ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ไม่ฎีกา
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกันฉ้อโกงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสามและวรรคห้าและเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยซึ่งมิได้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา213ประกอบด้วยมาตรา225