พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งและประเด็นการครอบครองปรปักษ์: ศาลฎีกายืนคำพิพากษาเดิม
ตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกันโดยจำเลยรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริงแล้วกลับให้การอีกว่าจำเลยได้ที่ดินพิพาทมาจากพ. แล้วเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบโดยเปิดเผยเกิน10ปีจากคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่ทราบได้แน่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของพ. หรือของจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เกิดประเด็นดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่อันเป็นประเด็นหลักจึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยแล้วจึงไม่ตรงกับรายงานการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นว่าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกันจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกมาจากส. และพ.ตั้งแต่วันที่28มีนาคม2533ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่าจำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากพ.และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่าจำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากพ. และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงตามฟ้องซึ่งก็คือยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่วันที่28มีนาคม2533นั่นเองจึงเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเองและไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองและมาตรา172วรรคสองจึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่คงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งและประเด็นข้อพิพาทไม่ชัดเจน ทำให้ไม่เกิดประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์
ตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า จำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกัน โดยจำเลยรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริง แล้วกลับให้การอีกว่า จำเลยได้ที่ดินพิพาทมาจาก พ.แล้วเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบ โดยเปิดเผยเกิน 10 ปี จากคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่ทราบได้แน่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของ พ.หรือของจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เกิดประเด็น ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่อันเป็นประเด็นหลัก จึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยแล้วจึงไม่ตรงกับรายงานการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นว่า คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกัน จึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกมาจาก ส.และ พ.ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533 ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริง ดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่า จำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จาก พ.และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า 10 ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงตามฟ้อง ซึ่งก็คือยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533 นั่นเอง จึงเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเองและไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 172 วรรคสองจึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ คงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5293/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสัตยาบันการกระทำของตัวแทน แม้ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งชัดแจ้ง
แม้ว่าจำเลยร่วมจะไม่ระบุให้ชัดแจ้งในหนังสือมอบอำนาจว่าได้มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องแย้งได้ แต่หลังจากที่ผู้รับมอบอำนาจได้ฟ้องแย้งไว้แล้ว จำเลยร่วมก็ได้มอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องแย้งได้ ถือได้ว่าจำเลยร่วมตัวการได้ให้สัตยาบันการกระทำของผู้รับมอบอำนาจตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 จำเลยร่วมจึงมีอำนาจฟ้องแย้งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5192/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาเช่าช่วงและระยะเวลาการเช่าตามสิทธิของผู้ให้เช่าช่วง โดยอิงตามสัญญาก่อสร้างและสัญญาเช่าเดิม
ตามสัญญาก่อสร้างอาคารใช้สิทธิแก่เทศบาลเมืองฉะเชิงเทราเช่าได้มีกำหนดเวลา20ปีนับแต่วันลงนามในสัญญาคือวันที่20พฤศจิกายน2513ถึงวันที่20พฤศจิกายน2533โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าช่วงต่อมาย่อมมีสิทธิการเช่าตามที่ระบุในสัญญาดังกล่าวจึงมีสิทธิให้จำเลยเช่าได้เพียงเท่าระยะเวลาการเช่าที่ตนมีสิทธิและตามสัญญาจองอาคารระหว่างโจทก์จำเลยได้เท้าความถึงเรื่องที่โจทก์ได้ทำการก่อสร้างอาคารพิพาทขึ้นบนที่ดินราชพัสดุโดยโจทก์ได้สิทธิเช่าช่วงมาจากเทศบาลเมืองฉะเชิงเทราดังนี้ตามสัญญาจองอาคารที่ระบุให้มีอายุการเช่า20ปีจึงย่อมเป็นที่เข้าใจระหว่างคู่สัญญาแล้วว่าหมายถึงอายุการเช่า20ปีตามที่โจทก์มีสิทธิตามสัญญาก่อสร้างอาคารหากให้เริ่มนับระยะเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่มีการทำสัญญาเช่ากันในภายหลังจะทำให้มีอายุการเช่ามากกว่า20ปีเกินกว่าสิทธิที่โจทก์ให้เช่าช่วงได้ซึ่งเป็นไปไม่ได้ขณะทำสัญญาจองอาคารโจทก์ยังไม่ได้รับสิทธิการเช่าต่ออีก5ปีเพิ่งได้รับสิทธิดังกล่าวในภายหลังเพราะเกิดมีกรณีพิพาทระหว่างกรมธนารักษ์กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทำให้การก่อสร้างล่าช้าวัสดุก่อสร้างเสียหายเพื่อชดเชยความเสียหายนี้กระทรวงการคลังจึงได้ขยายระยะเวลาการเช่าออกไปให้อีก5ปีซึ่งไม่เกี่ยวกับจำเลยจึงถือว่าอายุการเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยที่กระทำกันตามที่ระบุไว้ในสัญญาจองอาคารสิ้นสุดลงเพียงวันที่20พฤศจิกายน2533จำเลยจึงบังคับให้โจทก์ทำสัญญาเช่าและจดทะเบียนการเช่าให้จำเลยมีอายุ20ปีนับแต่วันทำสัญญาเช่ามิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5192/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าช่วงตามสัญญาหลัก: อายุสัญญาเช่าต้องสอดคล้องกับสิทธิที่ผู้ให้เช่าช่วงมี
ตามสัญญาก่อสร้างอาคารให้สิทธิแก่เทศบาลเมืองฉะเชิงเทราเช่าได้มีกำหนดเวลา 20 ปี นับแต่วันลงนามในสัญญาคือวันที่ 20 พฤศจิกายน 2513ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2533 โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าช่วงต่อมาย่อมมีสิทธิการเช่าตามที่ระบุในสัญญาดังกล่าว จึงมีสิทธิให้จำเลยเช่าได้เพียงเท่าระยะเวลาการเช่าที่ตนมีสิทธิและตามสัญญาจองอาคารระหว่างโจทก์จำเลยได้เท้าความถึงเรื่องที่โจทก์ได้ทำการก่อสร้างอาคารพิพาทขึ้นบนที่ดินราชพัสดุโดยโจทก์ได้สิทธิเช่าช่วงมาจากเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา ดังนี้ ตามสัญญาจองอาคารที่ระบุให้มีอายุการเช่า 20 ปี จึงย่อมเป็นที่เข้าใจระหว่างคู่สัญญาแล้วว่า หมายถึงอายุการเช่า 20 ปี ตามที่โจทก์มีสิทธิตามสัญญาก่อสร้างอาคาร หากให้เริ่มนับระยะเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่มีการทำสัญญาเช่ากันในภายหลังจะทำให้มีอายุการเช่ามากกว่า 20 ปี เกินกว่าสิทธิที่โจทก์ให้เช่าช่วงได้ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ขณะทำสัญญาจองอาคารโจทก์ยังไม่ได้รับสิทธิการเช่าต่ออีก 5 ปี เพิ่งได้รับสิทธิดังกล่าวในภายหลังเพราะเกิดมีกรณีพิพาทระหว่างกรมธนารักษ์กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทำให้การก่อสร้างล่าช้า วัสดุก่อสร้างเสียหายเพื่อชดเชยความเสียหายนี้กระทรวงการคลังจึงได้ขยายระยะเวลาการเช่าออกไปให้อีก 5 ปี ซึ่งไม่เกี่ยวกับจำเลย จึงถือว่าอายุการเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยที่กระทำกันตามที่ระบุไว้ในสัญญาจองอาคารสิ้นสุดลงเพียงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2533จำเลยจึงบังคับให้โจทก์ทำสัญญาเช่าและจดทะเบียนการเช่าให้จำเลยมีอายุ 20 ปีนับแต่วันทำสัญญาเช่ามิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4850/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินห้ามโอน: สิทธิทำประโยชน์ไม่ใช่สิทธิครอบครอง โอนขายเป็นโมฆะ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่
ที่ดินพิพาทที่โจทก์ได้รับมาอยู่ในระยะเวลาห้ามโอนเป็นที่ดินที่รัฐยังไม่ได้มอบ สิทธิครอบครองให้โจทก์มีสิทธิเพียง ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทไม่อาจสละหรือ โอนสิทธิครอบครองให้แก่ผู้อื่นได้การที่โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองจึงไม่มีผลตามกฎหมายโจทก์ย่อมมี อำนาจฟ้อง ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4833/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์: เหตุผลค่าธรรมเนียมไม่เพียงพอไม่เป็นเหตุพิเศษ
จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีและนำพยานมาสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์มาแต่ต้น พยานหลักฐานของโจทก์มีอยู่อย่างไร จำเลยย่อมทราบดี ระยะเวลาที่จะทำคำฟ้องอุทธรณ์มายื่นต่อศาลก็มีถึง 1 เดือน หากจำเลยขวนขวายที่จะยื่นอุทธรณ์ในกำหนดเวลาดังกล่าวก็สามารถกระทำได้ แต่จำเลยก็หาได้กระทำไม่ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ไม่สามารถจะหาเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์มาวางศาลได้ทันนั้น เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวมิใช่เหตุที่จะนำมาอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ เพราะถ้าจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแล้ว จำเลยก็ยังสามารถยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินดังกล่าวต่อศาลได้ด้วย เช่นนี้ ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยจึงไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4833/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาอุทธรณ์: เหตุผลด้านการเงินและการเตรียมอุทธรณ์ไม่เพียงพอ
จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีและนำพยานมาสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์มาแต่ต้น พยานหลักฐานของโจทก์มีอยู่อย่างไรจำเลยย่อมทราบดี ระยะเวลาที่จะทำคำฟ้องอุทธรณ์มายื่นต่อศาลก็มีถึง 1 เดือน หากจำเลยขวนขวายที่จะยื่นอุทธรณ์ในกำหนดเวลาดังกล่าวก็สามารถกระทำได้ แต่จำเลยก็หาได้กระทำไม่ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ไม่สามารถจะหาเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์มาวางศาลได้ทันนั้น เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวมิใช่เหตุที่จะนำมาอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ เพราะถ้าจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแล้ว จำเลยก็ยังสามารถยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินดังกล่าวต่อศาลได้ด้วย เช่นนี้ ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยจึงไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4700/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเติมวันที่ในพินัยกรรมก่อนลงลายมือชื่อไม่ถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ทำให้พินัยกรรมสมบูรณ์ตามกฎหมาย
การที่ผู้ทำพินัยกรรมได้เติมวันที่และเดือนในพินัยกรรมที่ ส.พิมพ์มาให้ตามความต้องการแล้วลงลายมือชื่อในพินัยกรรมหลังจากนั้นพยานอีก3คนจึงลงลายมือชื่อมิใช่เป็นการตกเติมแก้ไขเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมทั้งเป็นการเติมก่อนที่ผู้ทำพินัยกรรมและพยานลงลายมือชื่อในพินัยกรรมจึงไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1656วรรคสองพินัยกรรมจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4700/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขวันที่ในพินัยกรรมก่อนลงลายมือชื่อไม่ถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามกฎหมาย ทำให้พินัยกรรมสมบูรณ์
ป.ผู้ทำพินัยกรรมได้เติมวันที่และเดือนในพินัยกรรมที่ส.พิมพ์มาให้ตามความต้องการของป. และลงลายมือชื่อในพินัยกรรมแล้วพยาน3คนได้ลงลายมือชื่อการที่ป. เติมวันที่และเดือนลงในพินัยกรรมมิใช่เป็นการตกเติมแก้ไขเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมที่จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1656วรรคสองและเป็นการเติมก่อนที่ป. และพยานในพินัยกรรมลงลายมือชื่อพินัยกรรมจึงสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆะ