คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมปอง เสนเนียม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในบริษัทจำเลยของผู้ลงทุนต่างด้าว การร้องสอดคดี และการเป็นผู้แทนเฉพาะคดี
การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้และบังคับจำนองเป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้บังคับเอาแก่จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจาก ฮ.ที่ผู้ร้องอ้างว่าฮ. เป็นผู้ลงทุนในบริษัทจำเลยแต่เพียงผู้เดียว แต่ให้บุคคลอื่นเป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทเนื่องจาก ฮ. ถูกจำกัดสิทธิเพราะเป็นบุคคลต่างด้าว ข้ออ้างของผู้ร้องเป็นเรื่องระหว่าง ฮ.กับจำเลยไม่เกี่ยวกับคดีนี้ ฮ. มีสิทธิในบริษัทจำเลยเพียงใดคงมีอยู่อย่างนั้น ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามมาตรา 57(1) ส่วนที่ผู้ร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของ ฮ. เพื่อจัดการทรัพย์สินของ ฮ. นั้น การตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา 56 วรรคท้ายเป็นเรื่องที่ผู้ไร้ความสามารถไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้ คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับให้ ฮ.ร่วมรับผิดกับจำเลยเป็นส่วนตัวทั้งฮ. ไม่ใช่ผู้ไร้ความสามารถ หากผู้ร้องเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจาก ฮ.ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะนำไปใช้ในกิจการตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของบุคคลภายนอกในคดีบังคับชำระหนี้: การร้องสอดและการเป็นผู้แทนเฉพาะคดี
การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้และบังคับจำนองเป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้บังคับเอาแก่จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากฮ. ที่ผู้ร้องอ้างว่าฮ. เป็นผู้ลงทุนในบริษัทจำเลยแต่เพียงผู้เดียวแต่ให้บุคคลอื่นเป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทเนื่องจากฮ. ถูกจำกัดสิทธิเพราะเป็นบุคคลต่างด้าวข้ออ้างของผู้ร้องเป็นเรื่องระหว่างฮ.กับจำเลยไม่เกี่ยวกับคดีนี้ฮ. มีสิทธิในบริษัทจำเลยเพียงใดคงมีอยู่อย่างนั้นไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามมาตรา57(1)ส่วนที่ผู้ร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของฮ. เพื่อจัดการทรัพย์สินของฮ. นั้นการตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา56วรรคท้ายเป็นเรื่องที่ผู้ไร้ความสามารถไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับให้ฮ. ร่วมรับผิดกับจำเลยเป็นส่วนตัวทั้งฮ. ไม่ใช่ผู้ไร้ความสามารถหากผู้ร้องเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจากฮ.ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะนำไปใช้ในกิจการตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในบริษัทจำเลยและการร้องสอดคดี: ผู้ลงทุนต่างด้าวไม่มีสิทธิร้องขอคุ้มครองสิทธิในบริษัทที่ก่อตั้ง
การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้และบังคับจำนองเป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้บังคับเอาแก่จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจาก ฮ. ที่ผู้ร้องอ้างว่า ฮ.เป็นผู้ลงทุนในบริษัทจำเลยแต่เพียงผู้เดียว แต่ให้บุคคลอื่นเป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทเนื่องจาก ฮ. ถูกจำกัดสิทธิเพราะเป็นบุคคลต่างด้าว ข้ออ้างของผู้ร้องเป็นเรื่องระหว่าง ฮ. กับจำเลยไม่เกี่ยวกับคดีนี้ ฮ. มีสิทธิในบริษัทจำเลยเพียงใดคงมีอยู่อย่างนั้น ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามมาตรา 57 (1) ส่วนที่ผู้ร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของ ฮ. เพื่อจัดการทรัพย์สินของ ฮ. นั้นการตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา 56 วรรคท้าย เป็นเรื่องที่ผู้ไร้ความสามารถไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้ คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับให้ ฮ. ร่วมรับผิดกับจำเลยเป็นส่วนตัว ทั้ง ฮ. ไม่ใช่ผู้ไร้ความสามารถหากผู้ร้องเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจาก ฮ. ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะนำไปใช้ในกิจการตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2395/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของบุคคลภายนอกในคดีบังคับชำระหนี้และจำนอง การร้องสอดและการเป็นผู้แทนเฉพาะคดี
การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้และบังคับจำนองเป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้บังคับเอาแก่จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากฮ. ที่ผู้ร้องอ้างว่าฮ.เป็นผู้ลงทุนในบริษัทจำเลยแต่เพียงผู้เดียวแต่ให้บุคคลอื่นเป็นผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทเนื่องจากฮ.ถูกกำจัดสิทธิเพราะเป็นบุคคลต่างด้าวข้ออ้างของผู้ร้องเป็นเรื่องระหว่างฮ. กับจำเลยไม่เกี่ยวกับคดีนี้ฮ. มีสิทธิในบริษัทจำเลยเพียงใดคงมีอยู่อย่างนั้นไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามมาตรา57(1)ส่วนที่ผู้ร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของฮ. เพื่อจัดการทรัพย์สินของฮ. นั้นการตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา56วรรคท้ายเป็นเรื่องที่ผู้ไร้ความสามารถไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้คดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับให้ฮ. ร่วมรับผิดกับจำเลยเป็นส่วนตัวทั้งฮ. ไม่ใช่ผู้ไร้ความสามารถหากผู้ร้องเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจากฮ. ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะนำไปใช้ในกิจการตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2259/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำวินิจฉัยคชก.ที่ดิน เกินกำหนดสิทธิซื้อนา และผลกระทบต่ออำนาจฟ้อง
ฟ้องโจทก์เป็นการร้องขอต่อศาลให้บังคับกรณีมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งอันเป็นที่สุดของคชก.ตำบลหรือคชก.จังหวัดซึ่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา58วรรคแรกให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมและตามพระราชบัญญัติ อนุญาโตตุลาการฯมาตรา24วรรคแรกให้ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดในกรณีที่ศาลเห็นว่า คำชี้ขาด ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้นเมื่อพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา56วรรคแรกบัญญัติให้ ผู้เช่านาต้องใช้สิทธิซื้อนาพิพาทภายในกำหนดเวลา2ปีนับแต่วันที่ผู้เช่านารู้หรือควรจะรู้หรือภายในกำหนดเวลา3ปีนับแต่ผู้ให้เช่านาโอนนานั้นแต่ตามฟ้องปรากฏว่าจำเลยที่1โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่2เมื่อวันที่27สิงหาคม2538และโจทก์ทั้งสองทราบเรื่องเมื่อประมาณเดือนมกราคม2532หลังจากนั้นจึงดำเนินการยื่นเรื่องราวต่อคชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยข้อพิพาทมีความหมายอยู่ในตัวว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้สิทธิซื้อนาภายในกำหนดเวลา3ปีนับแต่จำเลยที่1โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่2คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่ชี้ขาดให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่2จึงไม่ชอบแม้จำเลยที่1ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลเกินกำหนดเวลาตามมาตรา56และจำเลยที่2มิได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลศาลก็ต้องปฏิเสธไม่รับบังคับตาม คำชี้ขาดของคชก.ตำบลและเป็นเรื่อง อำนาจฟ้องซึ่งเป็น ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนทั้งจำเลยที่2ก็ได้กล่าวแก้ในคำแก้ฎีกาด้วยศาลฎีกาวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2259/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำวินิจฉัย คชก. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากโจทก์มิได้ใช้สิทธิซื้อภายในกำหนด
ฟ้องโจทก์เป็นการร้องขอต่อศาลให้บังคับกรณีมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือคำสั่งอันเป็นที่สุดของ คชก. ตำบลหรือ คชก.จังหวัด ซึ่งพ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 58 วรรคหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการใน ป.วิ.พ. มาใช้บังคับโดยอนุโลม และตาม พ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการฯ มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ให้ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำชี้ขาดไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้น เมื่อ พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 54วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้เช่านาต้องใช้สิทธิซื้อนาพิพาทภายในกำหนดเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ผู้เช่านารู้หรือควรจะรู้ หรือภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่ผู้ให้เช่านาโอนมานั้นแต่ตามฟ้องปรากฏว่าจำเลยที่ 1 โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 27สิงหาคม 2528 และโจทก์ทั้งสองทราบเรื่องเมื่อประมาณเดือนมกราคม 2532หลังจากนั้นจึงดำเนินการยื่นเรื่องราวต่อ คชก.ตำบล เพื่อวินิจฉัยข้อพิพาท เมื่อวันที่19 มกราคม 2532 ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ใช้สิทธิซื้อนาภายในกำหนดเวลา 3 ปี นับแต่จำเลยที่ 1 โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ที่ชี้ขาดให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบแม้จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล เกินกำหนดเวลาตามมาตรา 56 และจำเลยที่ 2 มิได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ศาลก็ต้องปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดของ คชก.ตำบลตามมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ประกอบพ.ร.บ. อนุญาโตตุลาการฯ มาตรา 24 ดังกล่าวและเป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ได้กล่าวแก้ในคำแก้ฎีกาด้วย ศาลฎีกาวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2538 เวอร์ชัน 6 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องเรียกขจัดความเดือดร้อนจากการปลูกสร้างกีดขวาง แม้เป็นผู้เช่า
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกเพิงชายตลิ่งหน้าบ้านโจทก์กีดขวางบังหน้าบ้านโจทก์ ปิดบังทางลม แสงสว่าง ปิดบังทิวทัศน์ ขอให้จำเลยรื้อเพิงออกไปเป็นการขอให้ขจัดความเดือดร้อนตาม ป.พ.พ.มาตรา 1337 แต่ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะให้จำเลยยุติการกระทำที่เป็นละเมิดด้วย แม้โจทก์จะเป็นเพียงผู้เช่าที่ดินหากได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากการกระทำของจำเลย และได้รับความเดือดร้อนเป็นพิเศษ โจทก์อยู่ในฐานะที่จะฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนเป็นพิเศษนั้นได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้เช่าบ้านฟ้องขจัดความเดือดร้อนรำคาญจากการกระทำของจำเลย แม้ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน
แม้โจทก์เป็นเพียง ผู้เช่าที่ดินปลูกบ้านอาศัยเมื่อโจทก์ซึ่งเป็น เจ้าของบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษจากการกระทำของจำเลยย่อมมี อำนาจฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1337

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้เช่าบ้านในการขจัดความเดือดร้อนรำคาญจากการกระทำของผู้อื่นที่กระทบต่อการอยู่อาศัย
โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินของวัดปลูกบ้านอยู่อาศัยหากได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากการกระทำของจำเลยและได้รับความเดือดร้อนเป็นพิเศษโจทก์ก็อยู่ในฐานะที่จะฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนเป็นพิเศษนั้นได้เพราะเป็นเจ้าของบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวและบ้านเป็นอสังหาริมทรัพย์จึงเข้ากรณีที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1337

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของผู้เช่าบ้านในการฟ้องขจัดความเดือดร้อนรำคาญจากการปลูกสร้างกีดขวาง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกเพิงชายตลิ่งหน้าบ้านโจทก์กีดขวางบังหน้าบ้านโจทก์ปิดบังทางลมแสงสว่างปิดบังทิวทัศน์ขอให้จำเลยรื้อเพิงออกไปเป็นการขอให้ขจัดความเดือดร้อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1337แต่ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะให้จำเลยยุติการกระทำที่เป็นละเมิดด้วยแม้โจทก์จะเป็นเพียงผู้เช่าที่ดินหากได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากการกระทำของจำเลยและได้รับความเดือดร้อนเป็นพิเศษโจทก์อยู่ในฐานะที่จะฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนเป็นพิเศษนั้นได้โจทก์จึงมีสิทธิฟ้อง
of 89