คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมปอง เสนเนียม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7074/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาขอรอลงอาญาในคดีอาญาของผู้เยาว์: ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 357วรรคหนึ่ง, 83 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 15 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามป.อ. มาตรา 75 แล้ว จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่าให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 75 ประกอบด้วยมาตรา 74 (5) โดยส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนด 1 ปี จึงเป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อย จำเลยฎีกาขอให้ศาลรอลงอาญาให้จำเลยหรือให้ศาลมอบตัวจำเลยให้แก่มารดาเพื่อควบคุมความประพฤติของจำเลย เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก ถึงแม้ว่าจำเลยจะได้ยื่นคำร้องขอให้รับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7074/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับโทษ จำเลยอุทธรณ์ขอรอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคหนึ่ง,83 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 15 ปีลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75แล้ว จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่าให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบด้วยมาตรา 74(5) โดยส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนด 1 ปี จึงเป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อย จำเลยฎีกาขอให้ศาลรอลงอาญาให้จำเลยหรือให้ศาลมอบตัวจำเลยให้แก่มารดาเพื่อควบคุมความประพฤติของจำเลยเป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งถึงแม้ว่าจำเลยจะได้ยื่นคำร้องขอให้รับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6934/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ช่วยเหลือจำหน่ายทรัพย์ที่ได้จากการปล้นทรัพย์ มีความผิดฐานรับของโจร
ส.เป็นญาติกับ ผ. บิดาผู้เสียหายไปไถ่รถจักรยานยนต์จาก ช.มาให้ ผ.ได้ เพราะจำเลยเป็นผู้ติดต่อบอกเบาะแสและพา ส.ไปเอารถจักรยานยนต์โดยจำเลยทราบว่า ส.เป็นญาติกับ ผ. และ ส.ได้มอบเงินคต่าไถ่รถจักรยานยนต์ให้จำเลยแล้ว จึงได้รถจักรยานยนต์คืนมา มิใช่จำเลยไปเป็นเพื่อน ส.เพื่อไถ่รถจักรยานยนต์ การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือคนร้ายจำหน่ายรถจักรยานยนต์อันเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ เป็นความผิดฐานรับของโจรตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6934/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือคนร้ายจำหน่ายทรัพย์ที่ได้จากการปล้นทรัพย์เข้าข่ายความผิดฐานรับของโจร
ส.เป็นญาติกับผ. บิดาผู้เสียหายไปไถ่รถจักรยานยนต์จาก ช.มาให้ผ.ได้เพราะจำเลยเป็นผู้ติดต่อบอกเบาะแสและพา ส.ไปเอารถจักรยานยนต์โดยจำเลยทราบว่าส. เป็นญาติกับผ.และส. ได้มอบเงินค่าไถ่รถจักรยานยนต์ให้จำเลยแล้ว จึงได้รถจักรยานยนต์คืนมา มิใช่จำเลยไปเป็นเพื่อน ส. เพื่อไถ่รถจักรยานยนต์ การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือคนร้ายจำหน่ายรถจักรยานยนต์อันเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ เป็นความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6928/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดี: ผลกระทบของการไม่ส่งหมายแจ้งนัดชี้สองสถาน และการพิจารณาคดีใหม่
จำเลยมิได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและคำขอนั้นมิได้โต้แย้งคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นอันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้ส่งหมายแจ้งวันนัดชี้สองสถานให้จำเลยทราบซึ่งจะถือว่าจำเลยทราบวันนัดสืบพยานตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในวันชี้สองสถานไม่ได้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาย่อมเป็นกรณีที่มิได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมและเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาอันเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6797/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิริบมัดจำกับการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขาย หากจำเลยไม่บอกเลิกสัญญา โจทก์ต้องชำระราคาทั้งหมด
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ โดยโจทก์ได้วางมัดจำไว้บางส่วน ส่วนที่เหลือจะชำระในวันจดทะเบียนโอน เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจึงมีสิทธิริบมัดจำ แต่จำเลยมิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา สัญญาจะซื้อจะขายจึงยังมีผลบังคับ เมื่อโจทก์จะให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต่อไป โจทก์ต้องชำระราคาที่ดินทั้งหมดตามสัญญา จะเพียงแต่ชำระส่วนที่ขาดโดยนำเงินมัดจำที่จำเลยใช้สิทธิริบไปแล้วมาคิดหักไม่ได้ เมื่อโจทก์ไม่ได้เสนอที่จะชำระเงินเต็มตามสัญญา การที่จำเลยไม่โอนที่ดินให้โจทก์จึงไม่ถือว่าจำเลยผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6797/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขาย: การชำระราคาเต็มจำนวนเป็นเงื่อนไขสำคัญ แม้จำเลยริบมัดจำแล้ว โจทก์ต้องชำระส่วนที่เหลือทั้งหมดจึงจะบังคับให้โอนได้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ โดยโจทก์ได้วางมัดจำไว้บางส่วน ส่วนที่เหลือจะชำระในวันจดทะเบียนโอน เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจึงมีสิทธิริบมัดจำ แต่จำเลยมิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาสัญญาจะซื้อจะขายจึงยังมีผลบังคับ เมื่อโจทก์จะให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายต่อไป โจทก์ต้องชำระราคาที่ดินทั้งหมดตามสัญญา จะเพียงแต่ชำระส่วนที่ขาดโดยนำเงินมัดจำที่จำเลยใช้สิทธิริบไปแล้วมาคิดหักไม่ได้ เมื่อโจทก์ไม่ได้เสนอที่จะชำระเงินเต็มตามสัญญา การที่จำเลยไม่โอนที่ดินให้โจทก์จึงไม่ถือว่าจำเลยผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6759/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาเดียวกันในการทำร้ายร่างกาย ผู้ตายและผู้เสียหาย ถือเป็นกรรมเดียว
เมื่อจำเลยกับพวกเห็นผู้ตายกับผู้เสียหายก็วิ่งเข้าทำร้ายทันทีการที่จะทำร้ายใครก่อนหลังเป็นเรื่องธรรมดา แต่เห็นเจตนาของจำเลยกับพวกได้ว่าเจตนาร่วมกันที่จะทำร้ายผู้เสียหายกับผู้ตาย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาจะทำร้ายเฉพาะผู้ตายและเพิ่มเจตนาทำร้ายผู้เสียหายอีกคนหนึ่งในภายหลัง ลักษณะของเจตนาในการกระทำผิดเป็นอันเดียวกัน แม้จะมีการกระทำหลายหนแต่บุคคลหลายคนก็ตาม ก็ถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6661/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การใส่ความทำให้เสียชื่อเสียง
ข่าวในหนังสือพิมพ์มีข้อความว่า "กูละเบื่อ ศาลสั่งจำคุกภูมิ ศรีธัญรัตน์บก.นสพ. ประชาธิปไตย ฐานเบี้ยวเช็ค"มีความหมายว่า โจทก์ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยถูกศาลพิพากษาจำคุกเพราะเป็นคนไม่ตรง คดโกงออกเช็คโดยคดโกง มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6458/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธคำฟ้องที่ไม่ชัดเจนและการนำสืบพยานในชั้นพิจารณา
จำเลยยื่นคำให้การว่า ขอให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์อย่างสิ้นเชิง คำฟ้องใดที่จำเลยไม่ได้ให้การรับไว้โดยชัดแจ้งให้ถือว่าจำเลยปฏิเสธเป็นการปฏิเสธลอย ๆ โดยไม่มีเหตุผลแห่งการปฏิเสธคำให้การของจำเลยจึงไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง การที่จำเลยมานำสืบข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาไม่ทำให้คำให้การที่ไม่ชัดแจ้งกลายเป็นคำให้การชัดแจ้งไปได้
of 89