พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3225/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจแต่งตั้งทนายความของตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจฟ้องคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60
โจทก์มอบอำนาจให้ ด.เป็นตัวแทนมีอำนาจยื่นฟ้องเป็นคดีอาญา คดีแพ่งและหรือคดีล้มละลาย ด. จึงมีอำนาจแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีแพ่งแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3225/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารกู้ยืมที่ไม่ติดอากรแสตมป์ & อำนาจแต่งตั้งทนายความของผู้รับมอบอำนาจ
ปัญหาว่าเอกสารหลักฐานแห่งการกู้ยืมมิได้ปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่าตามประมวลรัษฎากร ศาลจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาได้ ใบยืมของชั่วคราวมีข้อความเพียงว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม2528 จำเลยยืมเงินไป 40,000 บาท และมีลายมือชื่อจำเลยในช่องผู้รับของ เป็นเพียงหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ มิใช่สัญญากู้ยืม จึงไม่ตกอยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ โจทก์มอบอำนาจให้ ด.เป็นตัวแทนมีอำนาจฟ้องคดีด.จึงมีอำนาจแต่งตั้งทนายความว่าความแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3217/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลไม่อนุญาตเรียกบุคคลภายนอกเข้าเป็นจำเลยร่วม ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ, อุทธรณ์ระหว่างพิจารณาต้องห้าม
คำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีมิใช่คำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1(5) เพราะมิได้ตั้งประเด็นระหว่างคู่ความดังนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี จึงมิใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความและเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจะอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3088/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีเดิมยังค้างพิจารณา โจทก์ฟ้องคดีเดิมอีกไม่ได้ แม้จะถอนฟ้องไปแล้ว
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น ขอให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทอันเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้แล้วโจทก์ขอถอนฟ้องไปศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งที่ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้องคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นอุทธรณ์โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ดังนั้นเมื่อคดีก่อนแม้โจทก์จะขอถอนฟ้องไปและศาลชั้นต้นอนุญาตแล้วก็ตาม แต่จำเลยยังอุทธรณ์ การถอนฟ้องนั้นยังไม่ถึงที่สุดโดยยังค้างพิจารณาอยู่ในศาลชั้นอุทธรณ์ จึงห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้อันเป็นเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทอดตลาดหุ้นชอบด้วยกฎหมาย แม้ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลทางการเงินทั้งหมดในประกาศ
รายละเอียดเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของบริษัทผู้ออกหุ้นอันได้แก่ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนหุ้นและมูลค่าหุ้นแต่ละหุ้นของบริษัทย่อมปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นและหนังสือบริคณห์สนธิที่ได้จดทะเบียนไว้ต่อนายทะเบียน ส่วนสินทรัพย์และหนี้สินย่อมปรากฏอยู่ในบัญชีงบดุลซึ่งได้ส่งไว้ต่อนายทะเบียนเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี เอกสารเหล่านี้บุคคลทั่วไปตลอดจนผู้ประสงค์จะเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดหุ้นของจำเลยในบริษัทดังกล่าวที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นำออกขายทอดตลาดย่อมสามารถตรวจสอบก่อนที่จะมีการขายทอดตลาดเพื่อเป็นข้อมูลช่วยการตัดสินใจในการเข้าสู้ราคาได้อยู่แล้ว แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวในประกาศขายทอดตลาด ก็ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้เป็นการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทอดตลาดหุ้น: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ต้องเปิดเผยรายละเอียดสินทรัพย์/หนี้สิน หากข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณะ
จำเลยกล่าวอ้างว่าการประกาศขายทอดตลาดหุ้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้แจ้งให้ผู้พบเห็นทราบว่าบริษัทผู้ออกหุ้นมีหุ้นอยู่ทั้งหมดเท่าใด มีสินทรัพย์และหนี้สินเท่าใด ผู้ที่ประมูลซื้อคงมีเฉพาะผู้ที่ทราบสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทเท่านั้นการขายทอดตลาดย่อมต้องมีการสมยอมกัน เป็นการไม่ชอบ จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำสืบให้เห็นดังที่กล่าวอ้าง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนหุ้นและมูลค่าหุ้นแต่ละหุ้นของบริษัทจำกัดย่อมปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นและหนังสือบริคณห์สนธิที่ได้จดทะเบียนไว้ต่อนายทะเบียน และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฐานะ ทางการเงินของบริษัทจำกัดคือสินทรัพย์และหนี้สิน ย่อมปรากฏอยู่ในบัญชีงบดุลซึ่งได้ส่งไว้ต่อนายทะเบียนเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี เอกสารเหล่านี้บุคคลทั่วไปตลอดจนผู้จะเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดหุ้นสามารถตรวจสอบก่อนที่จะมีการขายทอดตลาดได้อยู่แล้ว แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวในประกาศขายทอดตลาด ก็ไม่เป็นเหตุให้การขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2901/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญชาติไทย: การไม่ได้สัญชาติสำหรับผู้เกิดในไทยจากบิดามารดาที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
ตาม พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วได้ให้เพิ่มเติมมาตรา 7 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 และให้มาตรา 7 ทวิ ที่เพิ่มเติมนี้ใช้บังคับด้วยดังนั้น โจทก์ที่ 1 ซึ่งในขณะเกิดบิดาตามความเป็นจริงและมารดาเป็นคนต่างด้าวผู้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ย่อมไม่ได้สัญชาติไทย ตามมาตรา 7 ทวิ วรรคแรก และถูกถือว่าเป็นผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ตามมาตรา 7 ทวิ วรรคสาม
ในขณะที่โจทก์ที่ 2 ถึงทึ่ 5 เกิด บิดาตามความเป็นจริงเป็นคนต่างด้าวผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและมารดาคือโจทก์ที่ 1เป็นคนต่างด้าวผู้ถือว่าเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง แม้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เกิดในราชอาณาจักรไทยก็ไม่ได้รับสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบวรรคสามซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ(ฉบับที่ 2) มาตรา 5 ประกอบมาตรา 11
ในขณะที่โจทก์ที่ 2 ถึงทึ่ 5 เกิด บิดาตามความเป็นจริงเป็นคนต่างด้าวผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและมารดาคือโจทก์ที่ 1เป็นคนต่างด้าวผู้ถือว่าเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง แม้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 เกิดในราชอาณาจักรไทยก็ไม่ได้รับสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบวรรคสามซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ(ฉบับที่ 2) มาตรา 5 ประกอบมาตรา 11
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2862/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีเสร็จสิ้นแล้ว แม้ผู้ถูกบังคับคดีไม่ทราบประกาศขายทอดตลาด ก็ไม่มีสิทธิคัดค้านได้
เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามคำสั่งศาลโดยผู้ซื้อได้วางเงินค่าซื้อต่อศาลในวันขายทอดตลาดและศาลได้มีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินให้โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ซื้อ และโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาได้รับเงินที่ผู้ซื้อวางไว้ต่อศาลไปหมดแล้ว การบังคับคดีเกี่ยวกับทรัพย์ของจำเลยที่ 2 จึงเสร็จลงแล้ว จำเลยทั้งสองเพิ่งมายื่นคำร้องคัดค้านภายหลังจากนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ทราบประกาศขายทอดตลาดที่ดินอันเป็นการบังคับคดีฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 306 ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ยื่นคำร้องคัดค้านก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนการบังคับคดีดังกล่าวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2831/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงนอกเหนือคำให้การรับสารภาพ และยืนยันความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้ากับผลิตอาหารปลอมเป็นคนละกระทง
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ก็ตาม ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาได้นั้น ก็จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงจะวินิจฉัยได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันผลิตอาหารปลอมจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ จึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 กระทำผิดตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง จำเลยที่ 2 และที่ 3จะโต้เถียงข้อเท็จจริงให้เป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ที่จำเลยที่ 2และที่ 3 ฎีกาว่า อาหารที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันผลิตไม่ใช่อาหารปลอม เพราะได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นผู้ประกอบกิจการผลิตอาหารแล้ว จึงไม่มีความผิดนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงให้ผิดไปจากคำให้การรับสารภาพและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้ากับความผิดฐานผลิตอาหารปลอมลักษณะของการกระทำผิดแยกจากกัน เมื่อมีการปลอมเครื่องหมายการค้าและนำไปใช้ก็เป็นความผิดสำเร็จกระทงหนึ่งแล้ว เมื่อนำอาหารที่มีส่วนประกอบซึ่งไม่ใช่สูตรของอาหารที่แท้จริงมาปิดเครื่องหมายการค้าที่ทำปลอมขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคหรือประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นอาหารที่แท้จริง ก็เป็นความผิดฐานผลิตอาหารปลอมอีกกระทงหนึ่ง จึงเป็นความผิดสองกระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2831/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้าและผลิตอาหารปลอมเป็นคนละกระทง แม้จำเลยรับสารภาพ ศาลฎีกายืนตามอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษฐานปลอมเครื่องหมายการค้า ใช้เครื่องหมายการค้าปลอมและผลิตอาหารปลอม รวมจำเลยที่ 2 จำคุก3 ปี จำเลยที่ 3 ปรับ 11,000 บาท ศาลอุทธรณ์แก้เป็น ฐานปลอมและใช้เครื่องหมายการค้าปลอมเป็นความผิดกรรมเดียว ให้ลงโทษฐานปลอมเครื่องหมายการค้า ตาม ป.อ. มาตรา 273 ซึ่งเป็นบทหนักโดยลดโทษแล้ว จำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี จำเลยที่ 3 ปรับ 500 บาท เป็นกรณีแก้ไขเล็กน้อย และยังคงจำคุกไม่เกินห้าปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ข้อเท็จจริงนั้นก็ต้องยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้าและผลิตอาหารปลอมลักษณะของการกระทำผิดแยกจากกัน เมื่อมีการปลอมเครื่องหมายการค้าและนำไปใช้ก็เป็นความผิดสำเร็จกระทงหนึ่ง เมื่อนำอาหารที่ส่วนประกอบไม่ใช่สูตรของแท้มาปิดเครื่องหมายการค้าปลอมเพื่อให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าเป็นอาหารสูตรของแท้ก็เป็นความผิดฐานผลิตอาหารปลอมอีกกระทงหนึ่ง.