คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มงคล สระฏัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 717 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8207/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาผ่อนชำระหนี้ค้ำประกัน ไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขอรับทุนและลาไปศึกษาต่อต่างประเทศต่อมาผิดสัญญา โจทก์ได้นำเงินบำเหน็จของจำเลยที่ 1 ชดใช้หนี้บางส่วนแล้วแจ้งให้จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ส่วนที่ค้าง จำเลยที่ 2 ชำระเพียงครึ่งเดียวอีกครึ่งหนึ่งทำสัญญาผ่อนชำระหนี้มีใจความว่า จำเลยที่ 2 ยินยอมชำระเงินค่าผิดสัญญาลาศึกษาของจำเลยที่ 1 โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน อัตราเดือนละ5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี หนังสือดังกล่าวเป็นการยอมรับผิดใช้ทุนการศึกษา ซึ่งเป็นหนี้ที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันไว้เดิม ไม่มีข้อความระงับข้อพิพาทที่มีอยู่เดิมเพื่อก่อให้ได้สิทธิขึ้นใหม่แต่อย่างใด จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8203/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หุ้นส่วนสามัญ-ความรับผิดร่วม: ละเมิดจากลูกจ้างในกิจการร่วมกัน
จำเลยที่2นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปร่วมกิจการเกินรถกับจำเลยที่3ในเส้นทางที่ได้รับสัมปทานจากทางราชการโดยจำเลยที่3ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากจำเลยที่2ร้อยละ13ของยอดรายได้ที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายและยอมให้จำเลยที่3นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยที่4กับยอมให้จำเลยที่3พ่นชื่อบริษัทจำเลยที่3ไว้ที่ข้างรถจึงถือว่าจำเลยที่2และที่3เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการรับขนคนโดยสารด้วยกันในลักษณะหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเมื่อจำเลยที1ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่2ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวจำเลยที่3จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่2ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่1ด้วย ที่จำเลยที่3ฎีกาว่าจำเลยที่4ต้องรับผิดไม่เกิน250,000บาทในนามของจำเลยที่3นั้นไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ความรับผิดในจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่3ต้องใช้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลดลงเนื่องจากโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่3ได้เต็มจำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8203/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หุ้นส่วนประกอบกิจการร่วมกัน: ความรับผิดร่วมกันในละเมิดของลูกจ้าง
จำเลยที่ 2 นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 3 ในเส้นทางที่ได้รับสัมปทานจากทางราชการ โดยจำเลยที่ 3 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากจำเลยที่ 2 ร้อยละ 13 ของยอดรายได้ที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายและยอมให้จำเลยที่ 3 นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 4 กับยอมให้จำเลยที่ 3 พ่นชื่อบริษัทจำเลยที่ 3 ไว้ที่ข้างรถ จึงถือว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการรับขนคนโดยสารด้วยกันในลักษณะหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 4 ต้องรับผิดไม่เกิน250,000 บาท ในนามของจำเลยที่ 3 นั้น ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ความรับผิดในจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ 3 ต้องใช้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลดลง เนื่องจากโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 3 ได้เต็มจำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8028/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของผู้มีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารค้ำประกันสัญญา ความผิดพลาดของเอกสารและการละเลยหน้าที่
จำเลยเป็นผู้อำนวยการกองอาคารสถานที่ของโจทก์ มีหน้าที่รับผิดชอบในการทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. โดยจำเลยเป็นผู้รับหนังสือค้ำประกันมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ.เพื่ออ้างอิงว่ามีหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ผู้รับจ้างต้องนำมาเป็นหลักประกันในการทำสัญญาจ้างและต้องลงรายการของหนังสือค้ำประกันแล้ว แต่จำเลยไม่ได้ทำการตรวจสอบหนังสือค้ำประกันเท่าที่ควรจะกระทำเช่น ตรงช่องรายการ "ตามสัญญาจ้าง" ของหนังสือค้ำประกัน ไม่มีเลขที่ของสัญญาจ้าง คงมีแต่วันที่ของสัญญาจ้างเท่านั้น และในหนังสือค้ำประกันของธนาคาร สัญญาลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2530 แต่ตรงช่องรายการ "ตามสัญญาจ้าง สธ.32/2530"กลับลงวันที่เป็น "วันที่ 28 พฤษภาคม 2530" ซึ่งหากเป็นสัญญาในวันที่ลงในหนังสือค้ำประกันวันที่ 27 พฤษภาคม 2530 แล้วจะไปค้ำประกันสัญญาจ้างลงวันที่ 28พฤษภาคม 2530 ซึ่งยังไม่ได้ทำสัญญาจ้างกันเลยได้อย่างไร เมื่อหนังสือค้ำประกันของธนาคารมีพิรุธ จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องตรวจสอบว่าทำไมหนังสือค้ำประกันจึงมีพิรุธเช่นนี้หรือสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจสอบเอกสารนี้ให้ปรากฏความจริงเสียก่อน และหากยังเป็นที่สงสัยอยู่อีก จำเลยก็ต้องตรวจสอบไปยังธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวนั้นว่าได้ออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวจริงหรือไม่เพราะสัญญาค้ำประกันมีมูลค่าสูงถึง 20,000,000 บาท การละเลยของจำเลยเช่นนี้จึงถือว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว จำเลยจะอ้างว่าในขณะทำสัญญาจ้างและขณะนำหนังสือค้ำประกันมาประกอบสัญญาจ้างไม่มีระเบียบให้ต้องตรวจสอบไปยังธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8028/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดหน้าที่ราชการจากความประมาทเลินเล่อในการตรวจสอบหนังสือค้ำประกันปลอม ทำให้เกิดความเสียหายต่อราชการ
จำเลยเป็นผู้อำนวยการกองอาคารสถานที่ของโจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบในการทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดศ. โดยจำเลยเป็นผู้รับหนังสือค้ำประกันมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัดศ.เพื่ออ้างอิงว่ามีหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ผู้รับจ้างต้องนำมาเป็นหลักประกันในการทำสัญญาจ้างและต้องลงรายการของหนังสือค้ำประกันแล้วแต่จำเลยไม่ได้ทำการตรวจสอบหนังสือค้ำประกันเท่าที่ควรจะกระทำเช่นตรงช่องรายการ"ตามสัญญาจ้าง"ของหนังสือค้ำประกันไม่มีเลขที่ของสัญญาจ้างคงมีแต่วันที่ของสัญญาจ้างเท่านั้นและในหนังสือค้ำประกันของธนาคารสัญญาลงวันที่27พฤษภาคม2530แต่ตรงช่องรายการ"ตามสัญญาจ้างสธ.32/2530"กลับลงวันที่เป็น"วันที่28พฤษภาคม2530"ซึ่งหากเป็นสัญญาในวันที่ลงในหนังสือค้ำประกันวันที่27พฤษภาคม2530แล้วจะไปค้ำประกันสัญญาจ้างลงวันที่28พฤษภาคม2530ซึ่งยังไม่ได้ทำสัญญาจ้างกันเลยได้อย่างไรเมื่อหนังสือค้ำประกันของธนาคารมีพิรุธจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องตรวจสอบว่าทำไมหนังสือค้ำประกันจึงมีพิรุธเช่นนี้หรือสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้ใต้บังคับตรวจสอบเอกสารนี้ให้ปรากฏความจริงเสียก่อนและหากยังเป็นที่สงสัยอยู่อีกจำเลยก็ต้องตรวจสอบไปยังธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวนั้นว่าได้ออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวจริงหรือไม่เพราะสัญญาค้ำประกันมีมูลค่าสูงถึง20,000,000บาทการละเลยของจำเลยเช่นนี้จึงถือว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการปฏิบัติหน้าที่แล้วจำเลยจะอ้างว่าในขณะทำสัญญาจ้างและขณะนำหนังสือค้ำประกันมาประกอบสัญญาจ้างไม่มีระเบียบให้ต้องตรวจสอบไปยังธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7927/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการเพิกถอนนิติกรรม ศาลพิจารณาการเพิกถอนได้เมื่อผู้ครอบครองมีสิทธิจดทะเบียนก่อน
พันตำรวจเอก ป.ได้ยกที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของตนให้โจทก์ และโจทก์ได้เข้าครอบครองปลูกบ้านในที่พิพาทตลอดมาเกิน 10 ปีแล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ พันตำรวจเอก ป.ได้คัดค้าน แม้ขณะนั้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็ถือว่าโจทก์อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนและมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่พันตำรวจเอก ป.ได้ยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะส่วนที่พิพาทอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบได้
คำสั่งตัดพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2535 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 31 สิงหาคม 2535 จำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้ แต่ก็หาได้ทำไม่ จำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7927/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ & การเพิกถอนนิติกรรม: สิทธิโจทก์เหนือกว่านิติกรรมที่ทำระหว่างคดีความ
พันตำรวจเอกป.ได้ยกที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของตนให้โจทก์และโจทก์ได้เข้าครอบครองปลูกบ้านในที่พิพาทตลอดมาเกิน10ปีแล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์พันตำรวจเอกป.ได้คัดค้านแม้ขณะนั้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็ถือว่าโจทก์อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนและมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่พันตำรวจเอกป.ได้ยกที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่1และที่2เฉพาะส่วนที่พิพาทอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบได้ คำสั่งตัดพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่28กรกฎาคม2535และนัดฟังคำพิพากษาวันที่31สิงหาคม2535จำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้แต่ก็หาได้ทำไม่จำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7878/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำและความเสียหายจากการเลียนเครื่องหมายการค้า การบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษ
การกระทำของจำเลยในคดีก่อน มีเจตนาเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ส่วนการกระทำของจำเลยในคดีนี้ มีเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เมื่อเจตนาของการกระทำผิดทั้งสองข้อหาแตกต่างกัน โจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) หลังจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่นำโทษจำคุกของจำเลยที่รอไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้แล้ว โจทก์ไม่อุทธรณ์ ถือว่าโจทก์พอใจในคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะนำเรื่องการบวกโทษขึ้นมาวินิจฉัยบวกโทษอีกไม่ได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษแก่จำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7878/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำและความเสียหายจากการบวกโทษ: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจจำกัดในการแก้ไขโทษจำคุก
การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีก่อน มีเจตนาเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ มีเจตนาเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เมื่อเจตนาของการกระทำผิดทั้งสองข้อหาแตกต่างกัน การกระทำผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน โจทก์ย่อมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
หลังจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่นำโทษจำคุกของจำเลยที่ 2ที่รอไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษจำคุกคดีนี้แล้ว โจทก์ไม่อุทธรณ์ ถือว่าโจทก์พอใจในคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนการพิจารณาพิพากษาชั้นอุทธรณ์ ป.วิ.อ.มาตรา 212 บัญญัติว่า คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น ฉะนั้นเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ปัญหาเรื่องการบวกโทษแล้ว บทบัญญัติมาตรานี้ห้ามศาล-อุทธรณ์นำเรื่องการบวกโทษขึ้นมาวินิจฉัยอีก เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษแก่จำเลย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่ามีอำนาจบวกโทษจำเลยที่ 2 ได้เองจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7789/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาแล้วไม่สามารถเข้าร่วมเป็นโจทก์ใหม่ได้
คำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ร่วม ระบุว่าขอถอนฟ้องเพราะโจทก์ร่วมและจำเลยตกลงกันได้แล้ว ไม่ได้ระบุว่าขอถอนฟ้องเพราะโจทก์ร่วมจะไปขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการผู้เป็นโจทก์คดีนี้ เมื่อเป็นการขอถอนฟ้องเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์ร่วมจะไปขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้อีกไม่ได้เพราะการเข้าร่วมเป็นโจทก์ถือว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 36 ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงาน-อัยการผู้เป็นโจทก์ในคดีนี้ และที่พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วยนั้น จึงไม่ชอบ เมื่อโจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ไม่ได้แล้วโจทก์ร่วมจึงมิได้เป็นโจทก์ของคดีนี้ และไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีนี้ได้
of 72