คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มงคล สระฏัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 717 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7684/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องและใบมอบอำนาจ: ความสมบูรณ์ของใบมอบอำนาจ แม้มีการแก้ไขและการส่งมอบเอกสาร
ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 70,000 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่อุทธรณ์โต้แย้งจึงยุติจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่อาจฎีกาโต้แย้งเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลของโจทก์ที่ 1อีกได้
คำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ระบุว่า ขอยื่นฟ้องสหกรณ์รัตนโกสินทร์จำกัด กับพวกรวม 4 คน ตามบัญชีรายชื่อท้ายฟ้อง โดยบัญชีรายชื่อท้ายฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไว้แล้ว แม้ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ขอแก้ชื่อจำเลยที่ 1 จากสหกรณ์รัตนโกสินทร์ จำกัด เป็นสหกรณ์สามล้อรัตนโกสินทร์ จำกัด ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็เป็นเพียงการแก้ไขชื่อให้ถูกต้องเท่านั้นไม่ทำให้ใบมอบอำนาจท้ายฟ้องที่ระบุให้ฟ้องในชื่อของจำเลยที่ 1 เดิมเสียไป และแม้ใบมอบอำนาจดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ ก็ถือว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้นั่นเอง เมื่อโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้ ภ. ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แล้ว แม้จะมิได้ระบุว่าให้ดำเนินคดีในข้อหาใดก็หาทำให้ใบมอบอำนาจดังกล่าวเสียไปไม่ และการที่ใบมอบอำนาจมีเพียงลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจกำกับข้อความที่แก้ไขในใบมอบอำนาจแต่ฝ่ายเดียวก็หาทำให้การแก้ไขนั้นเสียไปไม่ ใบมอบอำนาจดังกล่าวจึงสมบูรณ์แล้ว
เมื่อต้นฉบับใบมอบอำนาจได้รวมอยู่ในท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1แล้ว ก็หาจำต้องส่งสำเนาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อีกไม่ การอ้างถึงใบมอบอำนาจดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในการนำสืบจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7641/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม: การบรรยายลักษณะการกระทำ, สัญญา, และความเสียหายอย่างชัดเจนเพียงพอต่อการพิจารณา
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 1 นั้นมิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นข้อนี้ไว้ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกา และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์รวมถึงคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบ
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายในตอนแรกว่าจำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์เป็นการกล่าวอ้างถึงลักษณะการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในที่ดินของโจทก์โดยที่โจทก์ยังไม่ได้ยินยอม แต่เมื่อจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3ตกลงซื้อที่ดินจากโจทก์แล้วโจทก์ก็ได้ยินยอมให้สร้างอ่างเก็บน้ำในที่ดินของโจทก์เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าเมื่อจำเลยที่ 2 ตกลงซื้อที่ดินของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ก็รับโอนที่ดินไปจากโจทก์เป็นบางส่วน และต่อมาไม่รับโอนส่วนที่ดินที่เหลือทั้งหมดและไม่ชำระราคาค่าซื้อที่ดินที่เหลือทั้งหมดให้โจทก์ ซึ่งคิดเป็นเงิน 458,250บาท นับว่าเป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดว่าจำเลยทั้งสามผิดสัญญา และโจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า การที่จำเลยผิดสัญญานี้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่จำเลยทั้งสามยังไม่รับโอนและชำระราคาให้โจทก์เป็นเงิน 72,000 บาท และอีกปีละ 18,000 บาท ด้วย ซึ่งเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะการที่จำเลยทั้งสามผิดสัญญาแล้วและในตอนท้ายโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะกระทรวงต้องรับผิดต่อการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ซึ่งเป็นการบรรยายถึงการที่จำเลยที่ 2และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างไรแล้ว ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ทั้งหมดได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7641/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้เปลี่ยนฐานข้อกล่าวหาจากละเมิดเป็นผิดสัญญา หากบรรยายรายละเอียดชัดเจนเพียงพอ
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 1 นั้นมิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นข้อนี้ไว้ จำเลยที่ 1จึงไม่มีสิทธิฎีกา และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์รวมถึงคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายในตอนแรกว่าจำเลยที่ 2ทำละเมิดต่อโจทก์เป็นการกล่าวอ้างถึงลักษณะการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในที่ดินของโจทก์โดยที่โจทก์ยังไม่ได้ยินยอม แต่เมื่อจำเลยที่ 2โดยจำเลยที่ 3 ตกลงซื้อที่ดินจากโจทก์แล้วโจทก์ก็ได้ยินยอมให้สร้างอ่างเก็บน้ำในที่ดินของโจทก์เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าเมื่อจำเลยที่ 2 ตกลง ซื้อที่ดินของโจทก์แล้วจำเลยที่ 2 ก็รับโอนที่ดินไปจากโจทก์เป็นบางส่วน และต่อมาไม่รับโอน ส่วนที่เกินที่เหลือทั้งหมดและไม่ชำระราคาค่าซื้อที่ดินที่เหลือทั้งหมดให้โจทก์ ซึ่งคิดเป็นเงิน 458,250 บาทนับว่าเป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดว่าจำเลยทั้งสามผิดสัญญาและโจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า การที่จำเลยผิดสัญญานี้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่จำเลยทั้งสามยังไม่รับโอนและชำระราคาให้โจทก์เป็นเงิน 72,000 บาท และอีกปีละ 18,000 บาท ด้วยซึ่งเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะการที่จำเลยทั้งสามผิดสัญญาแล้วและ ในตอนท้ายโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะกระทรวงต้องรับผิดต่อการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ซึ่งเป็นการบรรยายถึงการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1อย่างไรแล้ว ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ทั้งหมดได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7356/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่านา พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเกษตร: การเริ่มนับระยะเวลาสัญญา และการบอกเลิกสัญญา
ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยเป็นเรื่องการเช่านาไม่ว่าโจทก์จำเลยจะมีเจตนาที่จะให้การเช่านาระหว่างตนอยู่ภายใต้บังคับแห่งพ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หรือไม่ก็ตาม การเช่านาของโจทก์จำเลยก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น แม้การเช่านาพิพาทตามหนังสือสัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยจะกำหนดเวลาเช่าไว้ 1 ปีก็ตาม เมื่อ พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ให้ถือว่ามีกำหนด6 ปี การเช่านาพิพาทย่อมมีกำหนดเวลา 6 ปี
การที่โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ เมื่อหนังสือสัญญาเช่าฉบับเดิมครบกำหนดเวลาไปแล้ว โจทก์จำเลยคงต้องผูกพันกันตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน ไม่ใช่ผูกพันกันตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับก่อน ๆ ที่ครบกำหนดระยะเวลาการเช่าไปแล้ว และที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยว่าผิดสัญญาเช่านาก็โดยอาศัยหนังสือสัญญาเช่าตามสัญญาเช่าฉบับใหม่ ดังนั้น การเริ่มนับระยะเวลา 6 ปี จึงต้องเริ่มนับตามตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับใหม่ หาใช่เริ่มนับตามหนังสือสัญญาเช่าฉบับเดิมไม่ ดังนั้น โจทก์ผู้ให้เช่านาจะบอกเลิกการเช่านาก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาไม่ได้ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 31
ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่จำเลยขุดสระอันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเรียกค่าเสียหายจากจำเลยแยกต่างหากเป็นเอกเทศไปจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่ขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทเพราะเหตุที่สัญญาเช่าครบกำหนด ความเสียหายของโจทก์ดังกล่าว ย่อมต้องถือว่าเป็นคำขอบังคับส่วนหนึ่งของข้อหาที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเพราะครบกำหนดอายุสัญญาเช่าแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยแล้ว คำขอบังคับที่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายดังกล่าวย่อมเป็นอันตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7290/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขึ้นทะเบียนโบราณสถาน: การแจ้งเจ้าของที่ดินไม่จำเป็นต้องเป็นลายลักษณ์อักษร การประชาสัมพันธ์ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย
พระราชบัญญัติโบราณสถานโบราณวัตถุศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพ.ศ.2504มาตรา7วรรคสองมีความมุ่งหมายเพียงให้อธิบดีกรมศิลปากรแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองโบราณสถานทราบถึงการขึ้นทะเบียนโบราณสถานเท่านั้นมิใช่เป็นการขออนุญาตดังนั้นเมื่อมีการประกาศกำหนดเขตที่ดินใดเป็นเขตโบราณสถานแล้วแม้กรมศิลปากรจำเลยไม่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ผู้อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวทราบเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนประกาศก็ถือได้ว่าเป็นการประกาศขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นโบราณสถานโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7290/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขึ้นทะเบียนโบราณสถานและการเวนคืนที่ดิน: การแจ้งเจ้าของและการมีอยู่ของโบราณสถาน
พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน-แห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 7 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า "การขึ้นทะเบียนโบราณสถานตามความในวรรคก่อน ถ้าโบราณสถานนั้นมีเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้อธิบดีแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทราบ ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่พอใจ ก็ให้มีสิทธิร้องต่อศาลภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่อธิบดีแจ้งให้ทราบ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้อธิบดีระงับการขึ้นทะเบียนและหรือการกำหนดเขตที่ดินให้เป็นโบราณสถาน แล้วแต่กรณีได้ ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองมิได้ร้องขอต่อศาล หรือศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ยกคำร้องขอของเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ให้อธิบดีดำเนินการขึ้นทะเบียนได้" นั้น มีความมุ่งหมายเพียงให้อธิบดีกรมศิลปากรแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองโบราณสถานทราบเท่านั้น มิใช่เป็นการขออนุญาตแต่อย่างใด แม้จะมีการประกาศกำหนดเขตที่ดินเป็นเขตโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 28,217 ไร่ โดยกรมศิลปากรจำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ผู้อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวทราบเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนประกาศ แต่ก็ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ราษฎรในพื้นที่ดังกล่าวทราบว่าจำเลยที่ 1จะดำเนินการประกาศกำหนดเขตที่ดินบริเวณนั้นให้เป็นเขตโบราณสถาน จึงถือได้ว่าเป็นการประกาศขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นโบราณสถานโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่ดินพิพาทเป็นที่ตั้งของกำแพงเมืองเชลียงซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ โดยมีร่องรอยเป็นแนวกำแพงเมืองผ่านตลอดริมฝั่งใต้ของแม่น้ำยมในบริเวณที่ดินพิพาทมีก้อนศิลาแลงโบราณปรากฏอยู่ นอกจากนี้ในที่ดินพิพาทยังมีบ่อน้ำโบราณอยู่โดยมีก้อนศิลาแลงโบราณทรงโค้งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบ่อน้ำโบราณถูกนำมาก่อสร้างเป็นขั้นบันไดริมตลิ่งแม่น้ำยมด้วย แม้จะไม่มีแนวกำแพงเมืองในที่ดินพิพาทเนื่องจากมีการขุด ทำลายกำแพงเมืองในที่ดินพิพาทและที่ดินส่วนอื่นแต่ก็ยังมีซากหรือเศษส่วนของแนวกำแพง ก้อนศิลาแลงปรากฎอยู่เป็นหลักฐานถือได้ว่าบริเวณที่พิพาทมีโบราณสถานอยู่จริง การกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยและคำสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างและรื้อถอนสิ่งก่อสร้างของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7227/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขาดประโยชน์จากรถราชการเสียหาย: จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์จนกว่าจะมีการชดใช้
จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์จนเพลิงลุกไหม้เสียหายหมดทั้งคัน รถโจทก์เป็นรถที่ใช้ในราชการประจำอยู่โรงพยาบาล หลังจากจำเลยก่อเหตุละเมิดแล้วไม่ยอมใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการมิได้ใช้รถซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการละเมิด ดังนั้นนอกจากจำเลยจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายของรถยนต์และอุปกรณ์การแพทย์ให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยยังต้องรับผิดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์มิได้ใช้รถยนต์อันเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดในระหว่างที่จำเลยไม่ยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7071/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิออกเสียงในหุ้นพิพาท: คำร้องคุ้มครองชั่วคราวไม่เกี่ยวกับการพิพาททรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนหุ้นที่ซื้อไปแก่โจทก์ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าจำเลยทั้งสองจะต้องคืนหุ้นพิพาทที่ซื้อไปให้แก่โจทก์หรือไม่ที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองใช้สิทธิออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นพิพาทคำร้องโจทก์จึงไม่เกี่ยวกับการพิพาทด้วยทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์ตามประเด็นแห่งคดีที่จะได้รับความคุ้มครอง โจทก์จึงขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองใช้สิทธิในหุ้นพิพาทออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7071/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวไม่เกี่ยวกับการพิพาทสิทธิในหุ้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนหุ้นที่ซื้อไปแก่โจทก์ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าจำเลยทั้งสองจะต้องคืนหุ้นพิพาทที่ซื้อไปให้แก่โจทก์หรือไม่ที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองใช้สิทธิออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นพิพาทคำร้องโจทก์จึงไม่เกี่ยวกับการพิพาทด้วยทรัพย์สินสิทธิหรือประโยชน์ตามประเด็นแห่งคดีที่จะได้รับความคุ้มครองโจทก์จึงขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองใช้สิทธิในหุ้นพิพาทออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6745/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน: โจทก์ผิดสัญญาเนื่องจากไม่มีเงินชำระ ทำให้จำเลยไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์
ตามคำฟ้องมิได้อ้างเหตุที่ดินพิพาทไม่มีทางออกทำให้ธนาคารไม่ยอมอาวัลตั๋วเป็นเหตุขัดข้องในการรับโอนที่ดิน จึงไม่มีประเด็นว่าที่ดินพิพาทที่จะขายจะต้องเป็นที่ดินมีทางออกหรือไม่
of 72