คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มงคล สระฏัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 717 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5376/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างในฐานะผู้กระทำละเมิดจากความประมาทเลินเล่อของลูกจ้าง และประเด็นอายุความฟ้องร้อง
แม้ว่าตามระเบียบของกรมชลประทานจำเลย การที่จะนำรถยนต์คันเกิดเหตุขับออกไปข้างนอกได้ต้องได้รับอนุญาต จากผู้บังคับบัญชาเสียก่อนก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ปรากฏว่าผู้บังคับบัญชาคนใดเป็นผู้เก็บกุญแจรถยนต์คันเกิดเหตุที่ท.ต้องนำคำอนุมัติการใช้รถยนต์ไปเสนอแล้วจึงขอรับกุญแจรถยนต์คันเกิดเหตุไปขับรถยนต์คันเกิดเหตุ การที่จำเลยมอบการครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุและกุญแจของรถยนต์คันเกิดเหตุให้ ท.ซึ่งทำให้ท.พร้อมที่จะขับรถยนต์คันเกิดเหตุได้ตลอดเวลาเช่นนี้แสดงว่าจำเลยได้อนุญาตให้ ท.ใช้รถยนต์คันเกิดเหตุแล้ว ดังนั้นที่ ท.ขับรถยนต์คันเกิดเหตุออกจากกรมชลประทานสามเสนไปแล้วไปชน ศ.ตาย แล้วขับรถยนต์คันเกิดเหตุเข้ามากรมชลประทานสามเสนเหมือนเดิม โดยไม่ว่าในการขับรถยนต์คันเกิดเหตุจะเป็นความประสงค์ของ ท.เองหรือพนักงานของกรมชลประทานคนใดของจำเลยก็ตาม ก็ต้องถือว่าจำเลยได้อนุญาตให้ ท.กระทำเช่นนั้นได้ การขับรถยนต์คันเกิดเหตุของ ท.ดังกล่าวจึงถือว่ากระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยแล้ว โจทก์ที่ 1 เพิ่งรู้ว่า ท.เป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยชนผู้ตายเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2531 โจทก์ที่ 1จึงได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจในวันที่ 28 เมษายน 2531จึงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามรู้ถึงการทำละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่ 28 เมษายน 2531เมื่อโจทก์ทั้งสามฟ้องคดีนี้ในวันที่ 11 เมษายน 2532จึงไม่เกิน 1 ปี ฟ้องโจทก์ทั้งสามจึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5376/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอนุญาตใช้รถยนต์โดยปริยายและการรับผิดในทางการจ้าง
แม้ว่าตามระเบียบของกรมชลประทานจำเลย การที่จะนำรถยนต์คันเกิดเหตุขับออกไปข้างนอกได้ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาเสียก่อนก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ปรากฏว่าผู้บังคับบัญชาคนใดเป็นผู้เก็บกุญแจรถยนต์คันเกิดเหตุที่ ท.ต้องนำคำอนุมัติการใช้รถยนต์ไปเสนอแล้วจึงขอรับกุญแจรถยนต์คันเกิดเหตุไปขับรถยนต์คันเกิดเหตุ การที่จำเลยมอบการครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุและกุญแจของรถยนต์คันเกิดเหตุให้ ท.ซึ่งทำให้ ท.พร้อมที่จะขับรถยนต์คันเกิดเหตุได้ตลอดเวลาเช่นนี้แสดงว่าจำเลยได้อนุญาตให้ ท.ใช้รถยนต์คันเกิดเหตุแล้ว ดังนั้นที่ ท.ขับรถยนต์คันเกิดเหตุออกจากกรมชลประทานสามเสนไปแล้วไปชน ศ.ตาย แล้วขับรถยนต์คันเกิดเหตุเข้ามากรมชลประทานสามเสนเหมือนเดิม โดยไม่ว่าในการขับรถยนต์คันเกิดเหตุจะเป็นความประสงค์ของ ท.เองหรือพนักงานของกรมชลประทานคนใดของจำเลยก็ตาม ก็ต้องถือว่าจำเลยได้อนุญาตให้ ท. กระทำเช่นนั้นได้ การขับรถยนต์คันเกิดเหตุของ ท.ดังกล่าวจึงถือว่ากระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยแล้ว
โจทก์ที่ 1 เพิ่งรู้ว่า ท.เป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยชนผู้ตายเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2531 โจทก์ที่ 1 จึงได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงาน-ตำรวจในวันที่ 28 เมษายน 2531 จึงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามรู้ถึงการทำละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่ 28 เมษายน 2531 เมื่อโจทก์ทั้งสามฟ้องคดีนี้ในวันที่ 11 เมษายน 2532 จึงไม่เกิน 1 ปี ฟ้องโจทก์ทั้งสามจึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5307/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แม้ผู้ครอบครองจะทราบว่าเป็นที่ดินของผู้อื่น
ขณะที่ ธ. ยกที่พิพาทให้เป็นสถานที่ก่อตั้งโรงเรียนของจำเลยส. สามีโจทก์ก็ทราบ นอกจากไม่ได้คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตราจองของตนแล้ว ส. ยังให้การสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนการสอนของโรงเรียนของจำเลย ทั้งไม่มีผู้ใดคัดค้านว่าที่พิพาทไม่ใช่ของ ธ. เป็นเหตุให้ ธ. และจำเลยเข้าใจว่าที่พิพาทเป็นของ ธ. ที่ยกให้แก่จำเลยโดยชอบ ประกอบกับจำเลยได้ก่อสร้างโรงเรียนโดยสร้างอาคารเรียนที่มั่นคงแข็งแรงในที่พิพาทตั้งแต่ปี 2510และปลูกต้นไม้ยืนต้นเป็นรั้วล้อมรอบที่พิพาททั้งสี่ด้าน และเปิดสอนหนังสือแก่นักเรียนทั่วไปมาตั้งแต่ปี 2511 เรื่อยมา ทั้งได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยขน์สำหรับที่พิพาทในนามจำเลยและได้ครอบครองที่พิพาทเป็นเวลา 22 ปี โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน เป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 10 ปี
จำเลยเป็นนิติบุคคลมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติทั้งปวงแห่งกฎหมาย รวมทั้งมีสิทธิครอบครองที่ดินตามที่ได้รับการยกให้เป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนในสังกัดของจำเลยด้วย จึงอาจได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยทางครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 อย่างเช่นบุคคลธรรมดาด้วยและการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามมาตรา 1382 นี้ เป็นวิธีการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นวิธีหนึ่ง ในกรณีที่ทรัพย์สินเป็นที่ดิน ผู้ครอบครองจะรู้ว่าที่ดินที่ตนครอบครองนั้นเป็นของผู้อื่นหรือไม่ และเป็นที่ดินมีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าผู้นั้นได้ครอบครองที่ดินครบตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 1382 คือได้ครอบครองที่ดินกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินมีกรรมสิทธิ์ของโจทก์ครบตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 1382 จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5178/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิสูจน์ผู้ขับรถจริงเพื่อรับผิดละเมิด แม้คดีอาญายกฟ้อง
คดีอาญาที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ถึงที่สุด โดยศาลพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยว่าจำเลยจะเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยศาลในคดีแพ่งที่โจทก์ ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยจึงจำต้องวินิจฉัยให้ได้ความชัดว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุและเป็นผู้ก่อเหตุ ละเมิดหรือไม่ เนื่องจากคำพิพากษาคดีส่วนอาญามิได้ชี้ขาด ว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์โดยประมาทหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5178/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิด: การพิสูจน์ตัวผู้ขับขี่ในคดีแพ่งเชื่อมโยงคดีอาญา
เมื่อคดีอาญาที่โจทก์ที่1กับพวกฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่1กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัสถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุผลว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อน่าสงสัยว่าจำเลยที่1จะเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่1ศาลในคดีแพ่งที่โจทก์ที่1กับพวกฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสองจึงจำต้องวินิจฉัยให้ได้ความชัดว่าจำเลยที่1เป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุและเป็นผู้ก่อเหตุละเมิดหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5161/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุหย่า: การกู้เงินใช้จ่ายครอบครัว, การทะเลาะวิวาท, และความสัมพันธ์ชู้สาว ไม่เป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้
จำเลยกู้ยืมเงินคนอื่นเพื่อใช้จ่ายในคดีที่โจทก์ถูกจับฐานพกอาวุธปืนและเพื่อใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของบุตรหนี้สินทั้งหมดจึงเกิดจากการนำมาใช้จ่ายในครอบครัวระหว่างโจทก์จำเลยและบุตรมิใช่เกิดขึ้นเพราะจำเลยนำไปเล่นสลากกินรวบดังที่โจทก์อ้างการกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการประพฤติชั่วอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(2) การที่จำเลยหึงหวงและโกรธที่โจทก์หนีไปมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับหญิงอื่นจึงด่าโจทก์และบุพการีว่ามึงมันเลวเหมือนโคตรมึงนั้นไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์หรือบุพการีของโจทก์เป็นการร้ายแรงเพราะเป็นเพียงถ้อยคำที่จำเลยกล่าวด้วยความน้อยใจการกระทำของจำเลยต่อโจทก์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะโจทก์เป็นผู้ก่อขึ้นถือว่าเป็นเรื่องกระทบกระทั่งกันระหว่างสามีภริยาทั่วไปไม่ร้ายแรงถึงกับเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(3) หลังจากทำทัณฑ์บนแล้วโจทก์ยังมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับหญิงอื่นจำเลยจึงดุด่าและทำร้ายโจทก์อีกการกระทำของจำเลยมีสาเหตุจากการกระทำของโจทก์จึงยังไม่ถือว่าเป็นการประพฤติผิดทัณฑ์บนที่ให้ไว้อันจะเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(8)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4922/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของหลักกับตัวแทน: สัญญาที่ตัวแทนทำไป หลักต้องรับผิดด้วย แม้หลักมิได้ลงนาม
แม้โจทก์จะฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันว่าจ้างให้โจทก์ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ แต่โจทก์นำสืบได้ความว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของจำเลยที่ 1 ทำสัญญาแทนจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ได้ ไม่เป็นเรื่องนอกคำฟ้องของโจทก์ เพราะเป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นพิพาทแห่งคดี เนื่องจากในการติดต่อว่าจ้างทำของจำเลยที่ 1 อาจกระทำโดยตนเองหรือโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนไปติดต่อทำสัญญากับโจทก์แทนก็ได้ จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าจำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญาเป็นเรื่องส่วนตัวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4922/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาว่าจ้าง: ตัวแทนทำสัญญาผูกพันนายจ้าง แม้จะไม่ได้มอบอำนาจเป็นหนังสือ
แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันว่าจ้างให้โจทก์ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แต่โจทก์นำสืบได้ความว่าจำเลยที่2ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของจำเลยที่1ทำสัญญาแทนจำเลยที่1ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยให้จำเลยที่1รับผิดต่อโจทก์ได้ไม่เป็นเรื่องนอกคำฟ้องของโจทก์เพราะเป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นพิพาทแห่งคดีเนื่องจากในการติดต่อว่าจ้างทำของจำเลยที่1อาจกระทำโดยตนเองหรือโดยมีจำเลยที่2เป็นตัวแทนไปติดต่อทำสัญญากับโจทก์แทนก็ได้จำเลยที่1จะอ้างว่าจำเลยที่2ลงชื่อในสัญญาเป็นเรื่องส่วนตัวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4834/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม หากไม่เกี่ยว ศาลไม่รับฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำการก่อสร้างห้องครัวโดยใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์โดยโจทก์ไม่อนุญาตขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่ติดกับผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์จำเลยให้การว่าจำเลยได้ก่อสร้างผนังห้องครัวขึ้นใหม่มิได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ประเด็นจึงมีอยู่ว่าจำเลยได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์เป็นผนังห้องครัวตามฟ้องหรือไม่เมื่อจำเลยให้การปฎิเสธเรื่องการใช้ผังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ทำเป็นช่องหน้าต่างติดกระจกบานเกล็ดกับเหล็กดัดและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนเหล็กดัดที่รุกล้ำที่ดินจำเลยออกไปเป็นการตั้งประเด็นขึ้นใหม่อันเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้องฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4834/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม หากไม่เกี่ยว ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำการก่อสร้างห้องครัวโดยใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์โดยโจทก์ไม่อนุญาต ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่ติดกับผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยได้ก่อสร้างผนังห้องครัวขึ้นใหม่ มิได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ ประเด็นจึงมีอยู่ว่า จำเลยได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์เป็นผนังห้องครัวตามฟ้องหรือไม่ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธเรื่องการใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์เพราะเหตุได้ก่อผนังห้องครัวขึ้นใหม่ แต่จำเลยกลับกล่าวหาว่าโจทก์ไปเจาะผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ทำเป็นช่องหน้าต่างติดกระจกบานเกล็ด กับเหล็กดักและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนเหล็กดัด ที่รุกล้ำที่ดินจำเลยออกไป เป็นการตั้งประเด็นขึ้นใหม่อันเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
of 72