พบผลลัพธ์ทั้งหมด 717 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร – การกระทำผิดฐานเป็นธุระจัดหาพาไปเพื่อการอนาจาร และการลงโทษตามบทบัญญัติที่โจทก์ฟ้อง
ผู้เสียหายทั้งสี่มีอายุอยู่ระหว่างตั้งแต่12ปีถึง16ปีอยู่ในความปกครองของบิดามารดาจำเลยทั้งสามชักชวนให้ผู้เสียหายทั้งสี่ไปทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในภาคใต้แล้วพาไปประกอบอาชีพโสเภณีการกระทำดังกล่าวจึงเป็นการร่วมกันพรากผู้เสียหายทั้งสี่ไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารทั้งผู้เสียหายทั้งสี่เพียงแต่เต็มใจไปทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดภาคใต้มิได้เต็มใจไปค้าประเวณีจึงถือไม่ได้ว่าผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานเป็นธุระจัดหาพาไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา283วรรคสอง1กรรมและมาตรา283วรรคสาม3กรรมและฐานพรากเด็กและผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสาม3กรรมและมาตรา319วรรคหนึ่ง1กรรมแต่โจทก์บรรยายฟ้องโดยไม่มีรายละเอียดให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรมศาลจะลงโทษจำเลยทั้งสามให้แต่ละกรรมนอกเหนือจากคำฟ้องและคำขอของโจทก์หาได้ไม่จึงลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา283วรรคสามกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับจำนองและสิทธิในการรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย
โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท ธ. ส่วนจำเลยทั้งสี่จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้และค่าอุปกรณ์ การที่โจทก์ทั้งสี่ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้เอาจากกองทรัพย์สินของบริษัท ธ. ลูกหนี้ผู้ล้มละลายและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า เมื่อบังคับจำนองได้เงินชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเพียงใด มูลหนี้ที่โจทก์ทั้งสี่ขอรับชำระในคดีล้มละลายก็ลดลงตามนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นที่ได้อนุญาตให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับชำระหนี้ดังกล่าว มีผลเพียงให้โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตามจำนวนที่ยื่นขอเท่านั้นหากไม่ให้โจทก์ทั้งสี่ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้ว ก็จะทำให้โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องเสียหายและเป็นการลบล้างอำนาจเจ้าหนี้ที่มีอยู่
การที่โจทก์ทั้งสี่ขอรับชำระหนี้ และศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของบริษัท ธ. ลูกหนี้ผู้ล้มละลาย จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์จะบังคับเอาแก่ที่ดินตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9 อีกต่อไป แม้โจทก์ทั้งสี่จะได้ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนที่ดินที่จำนองคืนไป 1 แปลงแล้วก็ตาม ก็เป็นเพียงการรับชำระหนี้บางส่วนจากจำเลยทั้งสี่เท่านั้น โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงต้องผูกพันตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9เมื่อจำเลยทั้งสี่เพิ่งโอนที่ดินที่จำนองให้แก่โจทก์ทั้งสี่เพียงบางแปลงเท่านั้น จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดโอนที่ดินที่จำนองแปลงที่เหลืออีก 6 แปลง ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9 แก่โจทก์ทั้งสี
การที่โจทก์ทั้งสี่ขอรับชำระหนี้ และศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของบริษัท ธ. ลูกหนี้ผู้ล้มละลาย จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์จะบังคับเอาแก่ที่ดินตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9 อีกต่อไป แม้โจทก์ทั้งสี่จะได้ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนที่ดินที่จำนองคืนไป 1 แปลงแล้วก็ตาม ก็เป็นเพียงการรับชำระหนี้บางส่วนจากจำเลยทั้งสี่เท่านั้น โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงต้องผูกพันตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9เมื่อจำเลยทั้งสี่เพิ่งโอนที่ดินที่จำนองให้แก่โจทก์ทั้งสี่เพียงบางแปลงเท่านั้น จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดโอนที่ดินที่จำนองแปลงที่เหลืออีก 6 แปลง ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9 แก่โจทก์ทั้งสี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับจำนอง, การชำระหนี้, และผลของการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต่อสัญญาจำนอง
โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัท ธ.ส่วนจำเลยทั้งสี่จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้และค่าอุปกรณ์การที่โจทก์ทั้งสี่ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้เอาจากกองทรัพย์สินของบริษัท ธ. ลูกหนี้ผู้ล้มละลายและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเมื่อบังคับจำนองได้เงินชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเพียงใดมูลหนี้ที่โจทก์ทั้งสี่ขอรับชำระในคดีล้มละลายก็ลดลงตามนั้นคำสั่งศาลชั้นต้นที่ได้อนุญาตให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับชำระหนี้ดังกล่าวมีผลเพียงให้โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตามจำนวนที่ยื่นขอเท่านั้นหากไม่ให้โจทก์ทั้งสี่ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้แล้วก็จะทำให้โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องเสียหายและเป็นการลบล้างอำนาจเจ้าหนี้ที่มีอยู่ การที่โจทก์ทั้งสี่ขอรับชำระหนี้และศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของบริษัท ธ. ลูกหนี้ผู้ล้มละลายจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ประสงค์จะบังคับเอาแก่ที่ดินตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมายจ.9อีกต่อไปแม้โจทก์ทั้งสี่จะได้ยินยอมให้จำเลยที่2ไถ่ถอนที่ดินที่จำนองคืนไป1แปลงแล้วก็ตามก็เป็นเพียงการรับชำระหนี้บางส่วนจากจำเลยทั้งสี่เท่านั้นโจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงต้องผูกพันตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมายจ.9เมื่อจำเลยทั้งสี่เพิ่งโอนที่ดินที่จำนองให้แก่โจทก์ทั้งสี่เพียงบางแปลงเท่านั้นจำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดโอนที่ดินที่จำนองแปลงที่เหลืออีก6แปลงตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมายจ.9แก่โจทก์ทั้งสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 684/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายและการกระทำที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายในกรณีป้องกันทรัพย์สิน
คนร้ายเคยเจาะกำแพงอิฐบล็อกโรงงานของจำเลยแล้วลักเอาสิ่งของจากโรงงานไปคนงานของจำเลยจึงคิดวิธีป้องกันไว้ล่วงหน้าก่อนที่ภยันตรายจะถึงโดยขึงเส้นลวดไว้ที่ไม้สี่เหลี่ยมตั้งอยู่ที่พื้นปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้ากับเส้นลวดวันเกิดเหตุกำแพงอิฐบล๊อกโรงงานจำเลยถูกเจาะที่เดิมอีกผู้ตายเป็นผู้เจาะกำแพงอิฐบล๊อกแล้วมุดเข้าไปในโรงงานเพื่อลักทรัพย์ของจำเลยแต่ผู้ตายเหยียบแผ่นไม้สี่เหลี่ยมที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านเส้นลวดจนถูกช็อตจนถึงแก่ความตายถือว่าจำเลยได้กระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยย่อมได้รับนิรโทษกรรมไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา449วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 684/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจากการบุกรุกและลักทรัพย์: จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทน
ผู้ตายเจาะกำแพงอิฐบล๊อกแล้วมุดเข้าไปในโรงงานเพื่อลักทรัพย์ของจำเลยแต่ผู้ตายไปเหยียบแผ่นไม้สี่เหลี่ยมที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านเส้นลวดจนถูกช๊อตจนถึงแก่ความตายถือว่าจำเลยได้กระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมได้รับนิรโทษกรรมไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา449วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทำประโยชน์ในที่ดิน - การโต้แย้งสิทธิ - อำนาจฟ้อง - เจ้าหน้าที่ปฏิเสธออกหนังสือรับรอง
ที่พิพาทมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท เมื่อโจทก์ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เจ้าหน้าที่ได้ออกไปทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนแล้วมีความเห็นควรออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ได้ การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกำนัน และจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นนายอำเภอไปคัดค้านอ้างว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และจำเลยที่ 2ไม่ยอมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ตามป.วิ.พ. มาตรา 55 แล้ว
แม้โจทก์จะมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ให้โจทก์ฟ้องคดีภายใน 60 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 จะปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้อำนาจสั่งการไว้ หาเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
แม้โจทก์จะมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ให้โจทก์ฟ้องคดีภายใน 60 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 จะปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้อำนาจสั่งการไว้ หาเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งสิทธิการครอบครองทำประโยชน์ที่ดิน แม้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ ไม่ตัดสิทธิฟ้อง
ที่พิพาทมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทเมื่อโจทก์ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เจ้าหน้าที่ได้ออกไปทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนแล้วมีความเห็นควรออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ได้การที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นกำนันและจำเลยที่2ซึ่งเป็นนายอำเภอไปคัดค้านอ้างว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและจำเลยที่2ไม่ยอมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55แล้ว แม้โจทก์จะมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่2ที่ให้โจทก์ฟ้องคดีภายใน60วันนับแต่วันทราบคำสั่งก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่2จะปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้อำนาจสั่งการไว้หาเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ไม่โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากละเมิดทางเรือ: เจ้าของเรือและผู้ครอบครองไม่ต้องรับผิดหากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเรือยนต์ที่ไปทำละเมิด จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองเรือยนต์ที่ก่อเหตุละเมิด แต่ ป.พ.พ. มาตรา425 และมาตรา 437 วรรคแรก มิได้บัญญัติให้เจ้าของเรือยนต์ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย จึงขอบังคับให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายด้วยไม่ได้ ส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 2 นั้น ตามคำฟ้องโจทก์เพียงแต่บรรยายว่า ลูกจ้างที่ยังไม่ทราบชื่อของจำเลยที่ 2 ได้ขับเรือแล่นไปชนเรือของโจทก์โดยมิได้บรรยายให้เห็นว่า ผู้ที่ขับเรือไปชนนั้นกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ทั้งข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในเรือที่ก่อเหตุด้วย แม้จะได้บันทึกประจำวันว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองก็ไม่ทำให้ต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้ครอบครองจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากละเมิดทางเรือ: เจ้าของเรือไม่ต้องรับผิดหากมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง และผู้ขับเรือไม่ได้กระทำการในทางการจ้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1เป็นเจ้าของเรือยนต์ที่ไปทำละเมิดจำเลยที่2เป็นผู้ครอบครองเรือยนต์ที่ก่อเหตุละเมิดแต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา425และมาตรา437วรรคแรกมิได้บัญญัติให้เจ้าของเรือยนต์ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วยจึงขอบังคับให้จำเลยที่1ชดใช้ค่าเสียหายด้วยไม่ได้ส่วนความรับผิดของจำเลยที่2นั้นตามคำฟ้องโจทก์เพียงแต่บรรยายว่าลูกจ้างที่ยังไม่ทราบชื่อของจำเลยที่2ได้ขับเรือแล่นไปชนเรือของโจทก์โดยมิได้บรรยายให้เห็นว่าผู้ที่ขับเรือไปชนนั้นกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่2ทั้งข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่1และจำเลยที่2มิได้อยู่ในเรือที่ก่อเหตุด้วยแม้จะได้บันทึกประจำวันว่าจำเลยที่2เป็นผู้ครอบครองก็ไม่ทำให้ต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้ครอบครองจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 276/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากความประมาทเลินเล่อในการจดทะเบียนที่ดิน ทำให้เกิดความเสียหายจากการซื้อฝาก
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิด เนื่องจากประมาทเลินเล่อไม่ปฎิบัติตามระเบียบของทางราชการในการตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ในขณะที่ ว.จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทโดยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นเหตุให้ ว.นำที่ดินพิพาทมาขายฝากให้โจทก์ทั้งสี่ ต่อมาเจ้าของที่ดินพิพาทได้ฟ้องว. โจทก์ที่ 2 และที่ 4 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ขอให้เพิกถอนการขายฝาก และศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝาก ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย เป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดฐานละเมิด มิได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่เกี่ยวกับเรื่องนิติกรรมหรือสัญญา แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 3 จะมิได้มีชื่อเป็นผู้รับซื้อฝากในสารบัญจดทะเบียน โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ก็มีอำนาจฟ้อง
แม้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ในคดีที่เจ้าของที่ดินพิพาทฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากหรือจำเลยที่ 4 และที่ 3 ในคดีนี้ได้ฎีกาขอให้ตนเองไม่ต้องรับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3ในคดีดังกล่าวหรือโจทก์ที่ 2 และที่ 4 ในคดีนี้ก็ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วย เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาแล้วคดีจึงยุติฟังได้ว่าบุคคลใดบ้างมีส่วนกระทำละเมิดและต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีจึงเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นวันที่โจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ผู้แทนของจำเลยที่ 4 ปฏิบัติราชการในหน้าที่และความรับผิดชอบของจำเลยที่ 4 โดยประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่ด้วย
แม้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ในคดีที่เจ้าของที่ดินพิพาทฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากหรือจำเลยที่ 4 และที่ 3 ในคดีนี้ได้ฎีกาขอให้ตนเองไม่ต้องรับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3ในคดีดังกล่าวหรือโจทก์ที่ 2 และที่ 4 ในคดีนี้ก็ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วย เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาแล้วคดีจึงยุติฟังได้ว่าบุคคลใดบ้างมีส่วนกระทำละเมิดและต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีจึงเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นวันที่โจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ผู้แทนของจำเลยที่ 4 ปฏิบัติราชการในหน้าที่และความรับผิดชอบของจำเลยที่ 4 โดยประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่ด้วย