คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มงคล สระฏัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 717 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2825/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบ, ฟ้องไม่เคลือบคลุม, และดอกเบี้ยทบต้นในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี
จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่กำหนดหน้าที่นำสืบไม่ถูกต้อง ขอให้ทำการชี้สองสถานและกำหนดหน้าที่นำสืบใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จำเลยทั้งสองไม่โต้แย้งคำสั่ง ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจนเสร็จสำนวนและพิพากษาคดีแล้ว จึงอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งในเรื่องหน้าที่นำสืบนี้อีกไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)และ 247 คำฟ้องกล่าวว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ได้เบิกเงินเกินบัญชีหลายครั้ง และนำเงินเข้าหักทอนบัญชีตลอดมา คงเป็นหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้องแล้วผิดสัญญาขอให้บังคับชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา คำฟ้องดังกล่าวจึงแสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ส่วนวิธีการคำนวณดอกเบี้ยจากต้นเงินและวันเดือนปีใดแม้โจทก์จะมิได้บรรยายไว้ ก็เป็นเรื่องรายละเอียดซึ่งโจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม หลังจากครบกำหนดสัญญาแล้ว จำเลยทั้งสองยังคงเบิกเงินเกินบัญชีและนำเงินเข้าหักทอนบัญชีกับโจทก์ต่อไป เป็นการต่ออายุสัญญาออกไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาจนกว่าโจทก์หรือจำเลยทั้งสองจะบอกเลิกสัญญาโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปจนถึงวันบอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2805/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และผู้ร้องเป็นคดีอาญาข้อหาโกงเจ้าหนี้คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เมื่อคดีนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ยังไม่ถึงที่สุด จึงฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาผูกมัดในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2805/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการนำข้อเท็จจริงจากคดีอาญามาใช้ในคดีแพ่ง: คดีอาญาไม่ถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และผู้ร้องเป็นคดีอาญาข้อหาโกงเจ้าหนี้คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เมื่อคดีนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล-อุทธรณ์ ยังไม่ถึงที่สุด จึงฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาผูกมัดในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2801/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินต่อเนื่องโดยสงบและเปิดเผย แม้มีการฟ้องแย่งการครอบครองก่อน ก็ไม่ทำให้สิทธิครอบครองขาดอายุ
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้จำเลยส่งคืนแก่โจทก์และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การต่อสู้ว่าเดิมที่พิพาทด้านทิศเหนือเป็นของ ท. ตอนกลางถัดมาเป็นของโจทก์ และตอนด้านล่างทิศใต้เป็นของ ว.ท.และโจทก์ได้ขายที่ดินให้จำเลยและจำเลยได้รับยกให้ที่ดินจากบิดามารดาของ ว. จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ดังนี้ตามคำให้การของจำเลยไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองที่พิพาทเนื่องจากจำเลยครอบครองที่พิพาทของจำเลยเอง ศาลจึงไม่อาจยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง ขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2739/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุรถบรรทุก: ศาลแก้ให้ชดใช้ค่าซ่อมจริงตามความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทรัพย์สินของโจทก์ที่ถูกละเมิดเป็นรถยนต์บรรทุกช่วยรบขนาด 1.1 ตัน รุ่นยูนีมอกยี่ห้อเมอร์ซีเดส เบนซ์ สำหรับใช้ปฏิบัติการในการช่วยรบที่โจทก์เพิ่งซื้อมาใหม่เป็นพิเศษจากประเทศเยอรมันตะวันตกในราคา1,600,000บาทบริษัทธ.ได้ตรวจสอบความเสียหาย ปรากฏว่ารถได้รับความเสียหายรวม 52 รายการต้องใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ต้องสั่งจากประเทศเยอรมันตะวันตกโดยตรงเท่านั้น เมื่อรวมค่าขนส่งทางทะเลและค่าภาษีนำเข้าแล้วเป็นเงิน1,773,800 บาท และค่าแรงอีก 120,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,893,800 บาท จึงถือได้ว่าโจทก์เสียหายเป็นเงิน 1,893,800 บาทการที่โจทก์ขอค่าเสียหายเป็นค่าซ่อมจำนวนดังกล่าว จึงเป็นค่าเสียหายที่ตรงต่อความจริงและโจทก์มีสิทธิได้รับค่าเสียหายดังกล่าวตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายใบยาสูบ: ประเด็นอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 และการวินิจฉัยนอกประเด็น
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์อย่างสิ้นเชิงว่าไม่เคยทำสัญญาจะซื้อจะขายตามฟ้องโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์จริง จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์ตามสัญญาหรือไม่ แม้ศาลล่างจะรับวินิจฉัยในประเด็นนี้ให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องเรียกเอาเงินที่จ่ายล่วงหน้าเป็นค่าซื้อของส่วนที่เหลือหลังจากหักค่าของที่จำเลยส่งมอบแล้วคืน มีอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มิใช่กรณีตามมาตรา 165 (1) ซึ่งมีอายุความ 2 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2324/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้สมัคร ส.ส. ต้องมีฐานะเป็นผู้สมัคร ณ เวลาเกิดเหตุ
ตามคำฟ้องโจทก์เพิ่งสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 แต่เหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2535 ดังนั้นขณะเกิดเหตุโจทก์จึงไม่มีฐานะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงไม่เป็นผู้เสียหายตามความในพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2522 มาตรา 93 จัตวา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2535มาตรา 22 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องคดีอาญาของโจทก์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2324/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเลือกตั้ง: ผู้สมัครต้องมีสถานะ ณ เวลาเกิดเหตุ
ตามคำฟ้องโจทก์เพิ่งสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 แต่เหตุคดีนี้เกิดเมื่อวันที่19 มกราคม 2535 ดังนั้นขณะเกิดเหตุโจทก์จึงไม่มีฐานะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงไม่เป็นผู้เสียหายตามความใน พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 93 จัตวาซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 มาตรา 22 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องคดีอาญาของโจทก์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2324/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเลือกตั้ง: ผู้สมัครต้องมีสถานะเป็นผู้สมัคร ณ เวลาเกิดเหตุ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 แต่เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2535จำเลยได้มอบเงินให้แก่วัดบ้านบัวบกสะดำ เพื่อจูงใจให้ผู้เลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ตนหรืองดเว้นมิให้ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครอื่นทำให้โจทก์เสียหาย ดังนั้นขณะเกิดเหตุโจทก์ไม่มีฐานะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง จึงไม่เป็นผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 93 จัตวาที่บัญญัติว่า ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2290/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมวางแผนฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลปรับบทลงโทษให้ถูกต้อง
การที่จำเลยกับพวกร่วมกันวางแผนหลอกผู้ตายออกมาจากร้านอาหารไปที่ถนนริมคลองชลประทานที่เกิดเหตุ แล้วพวกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย หลังจากฆ่าผู้ตายแล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นการร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แต่โจทก์ก็มิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยให้หนักไปกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ แต่มีอำนาจพิพากษาปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้
of 72