คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มงคล สระฏัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 717 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6-7/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คุ้มครองประโยชน์โจทก์ระหว่างอุทธรณ์: งดไถ่ถอนทรัพย์จำนองเพื่อประกันชำระหนี้เพิ่มเติม
ศาลอุทธรณ์สั่งให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองไว้ในระหว่างอุทธรณ์ก็เพื่อจะได้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นตามคำฟ้องอุทธรณ์ เพราะหากปล่อยให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไถ่ถอนทรัพย์จำนองตามจำนวนหนี้ในคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปเสียก่อนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดี ถ้าต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชั้นอุทธรณ์เต็มตามฟ้องอุทธรณ์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นโจทก์ย่อมเสียประโยชน์ ขาดทรัพย์จำนองเป็นประกันการชำระหนี้แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะเสนอวางเงินหรือหลักประกันต่อศาลเป็นประกันการชำระหนี้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นให้เต็มตามฟ้อง แต่สิทธิของผู้รับจำนองนั้นมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญ จึงเป็นสิทธิที่ให้ความคุ้มครองตามกฎหมายแก่โจทก์ได้ดีกว่าการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2ขอวางเงินหรือหลักประกันต่อศาลเป็นประกันการชำระหนี้แก่โจทก์ที่จะได้รับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การยกเลิกคำสั่งคุ้มครองประโยชน์และรับเงินหรือหลักประกันของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไว้เป็นประกัน อาจจะก่อความเสียหายแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานบริการอาบน้ำนวด/อบตัว เสียภาษีการค้า 10% แม้แบ่งแผนก
การบริการอาบน้ำ นวดหรืออบตัว ซึ่งมีผู้บริการให้แก่ลูกค้าเพื่อให้บริการโดยหวังประโยชน์ในทางการค้าอยู่ด้วย ไม่ว่าจะแยกบริการเป็นแผนก ๆ หรือไม่ ก็ล้วนเป็นการให้บริการในสถานอาบน้ำนวด หรืออบตัวตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการหรือสถานนวดหรืออบตัวอย่างอื่น ตามความหมายดังที่บัญญัติไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าตามประเภทการค้า 4 ชนิด 2 ซึ่งต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 10 ของรายรับ แม้โจทก์จะอ้างว่ากิจการของโจทก์เป็นสถานบริหารร่างกายและออกกำลังกาย มีเครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างลักษณะเช่นเดียวกับโรงพยาบาล และมีผู้เชี่ยวชาญควบคุมดูแลก็หาทำให้กิจการของโจทก์กลายเป็นไม่ใช่การให้บริการในสถานอาบน้ำ นวดหรืออบตัวตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการหรือสถานนวดหรืออบตัวอย่างอื่น ตามประเภทการค้า 4 ชนิด 2 ไปไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4143/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการไถ่จำนองหลังมีคำพิพากษาตามยอม และการชำระหนี้แทนจำเลย
จำเลยกับผู้ร้องทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมโอนที่ดินแปลงพิพาทให้ผู้ร้อง หากผิดสัญญาให้ผู้ร้องบังคับได้ทันทีและให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมแสดงเจตนาโอนกรรมสิทธิ์แทนจำเลยได้ เมื่อศาลได้พิพากษาตามยอมเสร็จเด็ดขาดแล้ว ผู้ร้องย่อมมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1300 ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้งดการบังคับคดีของโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องบังคับจำนอง ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ หนี้ตามสัญญาจำนองจึงกลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษาไปแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิไถ่จำนองตามจำนวนหนี้ในสัญญาจำนอง แต่มีสิทธิเข้าชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์แทนจำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 230

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4143/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความและการชำระหนี้แทนจำเลย
จำเลยกับผู้ร้องทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมโอนที่ดินแปลงพิพาทให้ผู้ร้อง หากผิดสัญญาให้ผู้ร้อง บังคับได้ทันทีและให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมแสดงเจตนาโอนกรรมสิทธิ์แทนจำเลยได้ เมื่อศาลได้พิพากษา ตามยอมเสร็จเด็ดขาดแล้ว ผู้ร้องย่อมมีสิทธิตามคำพิพากษา ที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้งดการบังคับคดีของโจทก์ได้ โจทก์ฟ้องบังคับจำนอง ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลย ชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ หนี้ตามสัญญาจำนองจึงกลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษาไปแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิไถ่จำนองตามจำนวนหนี้ในสัญญาจำนอง แต่มีสิทธิเข้าชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์แทนจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4125/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาศุลกากรต้องใช้ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ไม่ใช่ราคาที่สูงกว่าหรือเทียบกับสินค้าต่างชนิด
เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเพิ่มจากราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าโดยเปรียบเทียบกับราคาที่ผู้นำเข้ารายอื่นสำแดงไว้ แต่เหล็กแผ่นที่ผู้นำเข้ารายอื่นนำเข้านั้นเป็นเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเคลือบและชุบน้ำมัน ต่างกับเหล็กแผ่นของโจทก์ที่เป็นชนิดไม่หุ้มติดและไม่ชุบ ทั้งราคาของผู้นำเข้ารายอื่นนั้นมีดอกเบี้ยรวมอยู่ด้วยราคาที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินจึงไม่ถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดคือราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนส่งขาเข้า เพราะก่อนซื้อสินค้าบริษัทผู้ขายได้เสนอราคาที่เรียกว่าโปรฟอร์มาอินวอยซ์ เมื่อโจทก์พอใจราคาก็มีการทำสัญญาซื้อขายที่เรียกว่าเซลล์โนตและเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตในราคาที่สั่งซื้อ แล้วผู้ขายได้จัดส่งสินค้าให้โจทก์ตามบัญชีราคาสินค้าที่เรียกว่าอินวอยซ์ เมื่อราคาที่โจทก์สำแดงเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4125/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาภาษีอากรต้องใช้ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด โดยพิจารณาจากราคาซื้อขายที่แท้จริง และลักษณะสินค้าที่แตกต่างกัน
เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเพิ่มจากราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าโดยเปรียบเทียบกับราคาที่ผู้นำเข้ารายอื่นสำแดงไว้ แต่เหล็กแผ่นที่ผู้นำเข้ารายอื่นนำเข้านั้น เป็นเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเคลือบและชุบ น้ำมัน ต่างกับเหล็กแผ่นของโจทก์ที่เป็นชนิดไม่หุ้มติดและไม่ชุบ ทั้งราคาของผู้นำเข้ารายอื่นนั้นมี ดอกเบี้ย รวมอยู่ด้วยราคาที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินจึงไม่ถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดราคาอันแท้จริงในท้องตลาดคือราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า เพราะก่อนซื้อสินค้าบริษัทผู้ขายได้เสนอราคาที่เรียกว่าโปรฟอร์มาอินวอยซ์ เมื่อโจทก์พอใจราคาก็มีการทำสัญญาซื้อขายที่เรียกว่าเซลส์โนต และเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตในราคาที่สั่งซื้อ แล้วผู้ขายได้จัดส่งสินค้าให้โจทก์ตามบัญชีราคาสินค้าที่เรียกว่าอินวอยซ์ เมื่อราคาที่โจทก์สำแดงเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มจึงไม่ชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4100/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีจากการขายที่ดินต่ำกว่าราคาตลาด และการหักค่าใช้จ่ายที่สมควร
โจทก์ซื้อที่ดินมาปรับปรุงแล้วแบ่งเป็นแปลงย่อยขาย เป็นการประกอบธุรกิจการค้าหากำไร การที่โจทก์โอนขายที่ดินให้แก่ศ.และส. ไปในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน แม้บุคคลดังกล่าวจะเป็นผู้มีบุญคุณต่อโจทก์ตามที่กล่าวอ้างก็ย่อมเป็นเหตุอันไม่สมควรในทางการค้า เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินราคาที่ดินที่โจทก์ขายให้แก่ ศ.และส.ตามราคาตลาดในวันที่มีการโอนเพื่อคำนวณกำไรสุทธิของโจทก์ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ทวิ (4) โจทก์มีเงินได้จากการค้าที่ดิน จัดอยู่ในประเภทเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) ซึ่งประมวลรัษฎากร มาตรา 46 ยอมให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามที่จะได้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาอันได้แก่พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11)พ.ศ. 2502 มาตรา 8 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 155 พ.ศ. 2515 ข้อ 10 ที่กำหนดว่าเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากรแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 ที่มิได้ระบุไว้ในมาตรา 8 ให้หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรทั้งนี้ให้นำมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 16)พ.ศ. 2502 มาใช้บังคับโดยอนุโลม และตามหนังสือกรมสรรพากรเลขที่ กค 0802/6625 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2529 ได้วางแนวทางให้ถือปฏิบัติในการหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้จากการขายที่ดินที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรไว้ดังนี้ 1. ผู้มีเงินได้จะต้องหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 หากผู้มีเงินได้ไม่สามารถหาหลักฐานเกี่ยวกับการใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรมาพิสูจน์ได้หักค่าใช้ให้เจ้าพนักงานประเมินพิจารณาหักค่าใช้จ่ายสำหรับต้นทุนที่ดินและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้ 2. ค่าใช้จ่ายอื่น ๆที่เกี่ยวข้องให้พิจารณาตามสภาพความเป็นจริงเป็นราย ๆ ไปแต่ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของราคาขาย เมื่อโจทก์มีเพียงหลักฐานทางบัญชี แต่ไม่มีเอกสารประกอบการลงบัญชีมาแสดง การที่เจ้าพนักงานประเมินฟังว่า เป็นกรณีโจทก์ไม่สามารถหาหลักฐานเกี่ยวกับการใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรมาพิสูจน์ได้และพิจารณาหักค่าใช้จ่ายให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 10 ของราคาขายจึงเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4099/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน และผลต่อการฟ้องคดีภาษีอากรภายในกำหนด
การส่งหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ กระทำโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนกระทำได้ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 8 วรรคแรก ซึ่งไปรษณีย์ภัณฑ์ และพัสดุไปรษณีย์อาจนำจ่ายให้แก่ผู้รับหรือผู้แทนของผู้รับก็ได้ ในการนำจ่าย ณ ที่อยู่ของผู้รับการสื่อสารแห่งประเทศไทยถือว่า เวรรักษาการณ์ของสำนักงานเป็นผู้แทนผู้รับ กรณีที่นำจ่ายให้แก่ผู้แทนของผู้รับ ให้ถือว่าได้นำจ่ายให้แก่ผู้รับแล้วนับแต่วันเวลาที่นำจ่ายตามไปรษณีย์นิเทศพ.ศ. 2524 ข้อ 350 ข้อ 351 และข้อ 353 น. ผู้ที่รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์จากบุรุษไปรษณีย์ไว้ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม2528 นั้นเป็นยามที่บริษัท จ. จัดมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่ทรัพย์สินภายในบริเวณโรงงานและสำนักงานของโจทก์ตามสัญญาที่โจทก์เป็นผู้จ้าง การที่ น. ทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่ที่ตู้ยามบริเวณหน้าทางเข้าโรงงานและสำนักงานของโจทก์จึงเป็นการทำหน้าที่เป็นเวรรักษาการณ์ของสำนักงานโจทก์นั่นเองหาใช่เป็นยามหรือเวรรักษาการณ์ของบริษัท จ. ไม่ จึงถือได้ว่าน. เป็นผู้แทนโจทก์ และหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ได้นำจ่ายให้แก่ผู้รับคือโจทก์ ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2528 แล้ว เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องในวันอังคาร ที่ 7 มกราคม 2529 จึงเป็นการนำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่โจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ขัดต่อ ป.รัษฎากร มาตรา 30(2) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3882/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองรถยนต์ที่ถูกลักมา การยินยอมมอบรถโดยสุจริต ไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนทราบว่ารถยนต์นั้นถูกคนร้ายลักมาจึงได้ยึดรถยนต์ดังกล่าวแล้วส่งไปให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่เกิดเหตุเพื่อประกอบการดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จำเลยไม่ได้เป็นผู้มอบรถยนต์ไปเองการที่จำเลยไม่โต้แย้งกรรมสิทธิ์ก็เพราะเชื่อโดยสุจริตว่ารถยนต์ถูกคนร้ายลักมาตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้ง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3834/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดี, หนังสือมอบอำนาจ, ดอกเบี้ยผิดสัญญา, และดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้
หนังสือมอบอำนาจระบุให้อำนาจ ช. มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์แม้จะมิได้ระบุตัวบุคคลที่จะให้ฟ้องไว้โดยเฉพาะเจาะจงช.ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองแทนโจทก์ได้ ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยหาใช่ข้อกฎหมายอันถือเป็นเรื่องที่ศาลจะรับรู้เองได้ แต่เป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่คู่ความมีหน้าที่จะต้องนำสืบโจทก์ไม่นำสืบจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ถึงอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เกินกว่ากฎหมายกำหนดทั้งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเป็นโมฆะ อย่างไรก็ดีการที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ในกำหนด โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224.
of 72