พบผลลัพธ์ทั้งหมด 717 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาท: สัญญาประนีประนอมยอมความทำให้หนี้สิ้นผลผูกพัน สิทธิฟ้องอาญาจึงระงับ
จำเลยที่ 1 ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์ ถึงกำหนดสั่งจ่ายแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีไม่พอจ่ายจำเลยที่ 1 จึงออกเช็คพิพาทไปแลกเอาเช็คฉบับก่อนคืนเป็นการออกเช็คพิพาทเพื่อชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์นั่นเอง แม้โจทก์จะมีข้อตกลงกับจำเลยที่ 1 ว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ซื้อสินค้าของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ต้องออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าสั่งจ่ายเงินตามราคาสินค้ามอบให้โจทก์ไว้เพื่อนำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร หากเรียกเก็บเงินได้ถือว่าเป็นการชำระค่าสินค้า หากเรียกเก็บเงินไม่ได้โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ออกเช็คใหม่ไปแลกเอาเช็คเก่าคืนโดยต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ด้วยก็ตามเมื่อลักษณะข้อตกลงของจำเลยที่ 1และโจทก์ต่างมีเจตนาที่จะให้ใช้เช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารโดยจำเลยที่ 1 ได้ลงวันที่สั่งจ่ายไว้ในเช็คและยินยอมให้โจทก์นำเรียกเก็บเงินจากธนาคาร หากเรียกเก็บเงินได้ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์ หากเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์จะยอมผ่อนผันให้จำเลยที่ 1 ออกเช็คใหม่มาแลกเช็คเก่าคืนก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ด้วย แสดงว่าจำเลยที่ 1และโจทก์เจตนาผูกพันกันตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงินหมวดที่ว่าด้วยเช็คนั่นเอง หาได้มีเจตนาพิเศษที่จะมิให้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารขาดเจตนาที่จะกระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คไม่ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งให้ชำระหนี้โดยรวมมูลหนี้ของเช็คพิพาทเข้าด้วย จำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ศาลแพ่งได้พิพากษาตามยอม ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตนดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 บัญญัติไว้ ดังนั้นหนี้ที่จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คพิพาทเพื่อใช้เงินนั้นจึงเป็นอันได้สิ้นผลผูกพันไป ก่อนที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำผิดบัญญัติเป็นคุณแก่ผู้กระทำผิด ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังนั้นสิทธิของโจทก์ในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2532/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชั่วคราวให้วางเงินจากผลประโยชน์กิจการ ไม่ใช่การบังคับเอาแก่ทรัพย์สิน
การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวของโจทก์ก่อนพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264 โดยให้จำเลยนำเงินที่ได้จากการบริหารกิจการโรงแรม น. มาวางศาลเดือนละ150,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั้น มีลักษณะเป็นการบังคับให้จำเลยนำผลประโยชน์ที่ได้รับในการบริหารกิจการโรงแรมดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดีมาวางไว้ที่ศาล มิใช่เป็นเรื่องประสงค์จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลย จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำเลยจะขอวางหลักทรัพย์อื่นเป็นหลักประกันหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติตามคำสั่งศาล: การแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งภายในกำหนดเวลา แม้จะยืดยาวแต่ยังอ่านเข้าใจได้
จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับไว้แล้วคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นเห็นว่าเยิ่นเย้อ และสับสน มีคำสั่งให้จำเลยทำรวมเป็นฉบับเดียวกันใน 15 วันจำเลยได้ทำคำให้การและฟ้องแย้งยื่นมาใหม่ภายในกำหนด ถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นสั่งแล้วแม้คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยที่ยื่นมาใหม่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแล้วจะยืดยาวแต่สามารถอ่านเข้าใจได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2387/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองในที่ดินสาธารณะ: การขุดบ่อจับปลาไม่ถือเป็นการครอบครองที่ดิน
ประเด็นข้อพิพาทในคดีมีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันก็คือวินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั่นเอง เป็นการวินิจฉัยตามประเด็นในคดี ที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์เพียงแต่เข้าไปขุดบ่อไว้เป็นแห่ง ๆ เพื่อจับปลาซึ่งเป็นการกระทำในลักษณะทำนองเดียวกับจำเลยและราษฎรคนอื่น ๆ และในหน้าน้ำทุกปีมีน้ำท่วมพื้นที่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดสามารถใช้ประโยชน์จากบ่อที่ขุดไว้ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ลงหลักปักเขตขุดคูในที่พิพาทเพื่อเป็นบ่อปลา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2387/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองในที่สาธารณะ: การครอบครองและทำประโยชน์ในหนองน้ำสาธารณะไม่ถือเป็นสิทธิครอบครอง
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันเท่ากับวินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั่นเองจึงเป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นในคดี โจทก์เพียงแต่เข้าไปขุดบ่อไว้เป็นแห่ง ๆ ในที่พิพาทซึ่งเป็นหนองน้ำสาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน เพื่อจับปลาเช่นเดียวกับจำเลยและราษฎรคนอื่น ๆ และในหน้าน้ำทุกปีน้ำท่วมพื้นที่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดสามารถใช้ประโยชน์จากบ่อที่ขุดไว้ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทำประโยชน์อย่างอื่นในที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อเลี่ยงชำระหนี้: อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ศาลแขวง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนแล้วฟังว่า การที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของรถพิพาทก่อนโอนให้ ป. นั้น จำเลยมิได้มีกรรมสิทธิ์ในรถคันพิพาทอย่างแท้จริง แต่เป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างจำเลยกับ ป. ในฐานะลูกหนี้เจ้าหนี้ การกระทำของจำเลยหาได้มีเจตนาที่จะมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทที่โอนให้แก่ ป. และการโอนรถพิพาทมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้แล้ว เป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2215/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกค่าปรับก่อนบอกเลิกสัญญา: การบอกเลิกสัญญาตามข้อ 20 ไม่ครอบคลุมสิทธิเรียกร้องค่าปรับ
ตามสัญญาข้อ 19 มีข้อความว่า ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา แต่ผู้ว่าจ้างยังมิได้บอกเลิกสัญญาผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างปรับผู้รับจ้างเป็นรายวัน วันละ6,240 บาท นับแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดวันแล้วเสร็จตามสัญญาจนถึงวันที่งานแล้วเสร็จบริบูรณ์และข้อ 19 วรรคสองว่า ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ว่าจ้างเห็นว่า ผู้รับจ้างไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามข้อ 20 นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วย และสัญญาข้อ 20 มีข้อความว่า ถ้าผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาแล้ว ผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างริบหลักประกันสัญญาดังกล่าวในสัญญาข้อ 3 ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์ต้องใช้สิทธิเรียกร้องค่าปรับจากจำเลยเสียก่อนที่จะบอกเลิกสัญญา การที่โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาที่จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบงานตามสัญญาให้แก่โจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงต้องริบหลักประกันและเรียกค่าปรับเป็นรายวัน วันละ 6,240 บาท นับแต่วันถัดจากวันสิ้นสุดสัญญาถึงวันบอกเลิกสัญญานั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาในระหว่างที่มีการปรับตามสัญญาข้อ 19 วรรคสอง แต่เป็นการบอกเลิกสัญญาตามข้อ 20 ซึ่งไม่ได้ระบุให้สิทธิแก่โจทก์ในการเรียกค่าปรับจากจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงเรียกค่าปรับจากจำเลยทั้งสองด้วยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2133/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 กรณีโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์
สุกรที่ผู้ร้องขอให้ปล่อยจากการยึด เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้เป็นเงิน 21,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน50,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ส. และจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นพยานผู้ร้องเบิกความถึงเอกสารหมาย ร.1 แตกต่างกันเป็นพิรุธน่าสงสัยว่าเอกสารดังกล่าวได้จัดทำขึ้นหลังยึดสุกรแล้วที่ผู้ร้องฎีกาว่าสุกรดังกล่าวเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 การที่ศาลรับฟังพยานโจทก์เป็นการสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารหมาย ร.1 นั้น จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2079/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งคำสั่งออกจากที่ดินต้องเป็นไปตามระเบียบ หากไม่ถูกต้องครบถ้วน ถือว่าจำเลยยังไม่ได้รับคำสั่งและไม่มีความผิด
ตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 3(พ.ศ. 2515) ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการแจ้งและออกคำสั่งแก่ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2515 ใช้บังคับกำหนดให้เจ้าหน้าที่ผู้นำส่งหนังสือแจ้งบันทึกเหตุการณ์และเหตุผลในการไม่ยอมรับหนังสือแจ้งไว้ และให้มีพยานอย่างน้อย2 คน ลงชื่อรับรองไว้ในบันทึกนั้นด้วย เมื่อผู้นำส่งหนังสือแจ้งได้ปฏิบัติการดังกล่าวแล้วนั้นให้ถือว่าผู้ฝ่าฝืนได้รับหนังสือแจ้งแล้ว แต่ตามบันทึกข้อความของเจ้าหน้าที่ผู้นำหนังสือแจ้งและคำสั่งให้ออกจากที่ดินไปส่งแก่จำเลย นอกจากจะไม่ปรากฏเหตุผลที่ผู้ฝ่าฝืนไม่ยอมรับหนังสือแจ้งแล้ว ยังไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้นำส่งได้สอบถามเหตุผลเอาจากผู้ฝ่าฝืนแล้วบันทึกไว้และไม่ปรากฏว่าบันทึกดังกล่าวเป็นเอกสารที่อ้างอิงเกี่ยวกับจำเลยว่าเป็นผู้เข้าไปยึดถือครอบครองก่นสร้างที่ดินของรัฐอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน บันทึกข้อความนั้นจึงไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่ระเบียบกำหนด จะถือว่าจำเลยได้รับหนังสือแจ้งอันเป็นคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่กฎหมายให้ไว้และทราบคำสั่งนั้นแล้วหาได้ไม่ จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 และประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 108
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2079/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งข้อหาบุกรุกที่ดินและการพิสูจน์การรับทราบคำสั่งเจ้าหน้าที่ตามระเบียบ
สำหรับจำเลยที่ 6 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 108,108ทวิ และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ซึ่งมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 6 ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 108 แล้ว เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ข้อหาความผิดดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ไม่อาจฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 6 ในข้อหาความผิดนั้นได้อีก ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 6 ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนฎีกาที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 6 ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 108 ทวิ โจทก์กล่าวในฎีกาเพียงว่าขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น มิได้กล่าวว่าการกระทำของจำเลยที่ 6 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ เพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่แจ้งชัด ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติมาตราทั้งสองดังกล่าวเช่นกัน ตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 3(พ.ศ. 2515) ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการแจ้งและออกคำสั่งแก่ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์พุทธศักราช 2515 ใช้บังคับกำหนดให้เจ้าหน้าที่ผู้นำส่งหนังสือแจ้งบันทึกเหตุการณ์และเหตุผลในการไม่ยอมรับหนังสือแจ้งไว้และให้มีพยานอย่างน้อย 2 คน ลงชื่อรับรองไว้ในบันทึกนั้นด้วยเมื่อผู้นำส่งหนังสือแจ้งได้ปฏิบัติการดังกล่าวนั้นแล้ว ให้ถือว่าผู้ฝ่าฝืนได้รับหนังสือแจ้งแล้ว แต่ตามบันทึกข้อความของเจ้าหน้าที่ผู้นำหนังสือแจ้งและคำสั่งให้ออกจากที่ดินไปส่งแก่จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 7 นอกจากจะไม่ปรากฏเหตุผลที่ผู้ฝ่าฝืนไม่ยอมรับหนังสือแจ้งแล้ว ยังไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้นำส่งได้สอบถามเหตุผลเอาจากผู้ฝ่าฝืนแล้วบันทึกไว้ และไม่ปรากฏว่าบันทึกดังกล่าวเป็นเอกสารที่อ้างอิงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ถึงที่ 7 ว่าเป็นผู้เข้าไปยึดถือครอบครองก่อสร้างที่ดินของรัฐอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่ง ประมวลกฎหมายที่ดินแต่อย่างใดบันทึกข้อความนั้นจึงยังไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่ระเบียบดังกล่าวกำหนด ดังนั้น จะถือว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 7ได้รับหนังสือแจ้งอันเป็นคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้และทราบคำสั่งนั้นแล้วหาได้ไม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 ถึงที่ 7 ยังไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108