พบผลลัพธ์ทั้งหมด 952 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4938/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาเช่าซื้อ ผลของการชำระค่าเช่าซื้อเกินกำหนด และการเรียกร้องค่าเสียหายหลังเลิกสัญญา
แม้ตามสัญญาเช่าซื้อจะมีข้อตกลงว่าถ้าจำเลยที่1ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าสัญญาเลิกกันและถ้าโจทก์ยอมผ่อนผันในครั้งใดมิให้ถือว่าเป็นการผ่อนผันในครั้งอื่นด้วยก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่1ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อเกินกำหนดระยะเวลาตลอดมาและครั้งสุดท้ายชำระค่าเช่าซื้อเกินกำหนดเวลาและไม่ครบจำนวนโจทก์ยินยอมรับไว้โดยไม่ทักท้วงพฤติการณ์แสดงว่าคู่สัญญาไม่ถือเอากำหนดเวลาและจำนวนเงินค่าเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญดังนั้นหากโจทก์ประสงค์จะบอกเลิกสัญญาต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่1ชำระค่าเช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา387ก่อน การที่โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยทั้งสามให้ชำระค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์จากการที่จำเลยที่1ไม่ส่งมอบรถคืนรวมทั้งค่าเช่าซื้อที่หักจากราคารถที่ขายไปยังขาดอยู่แก่โจทก์ภายใน7วันตามสัญญาก็เป็นเพียงหนังสือทวงถามถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญา โจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อจากจำเลยที่1เพราะเหตุที่จำเลยที่1เพราะเหตุที่จำเลยที่1ชำระค่าเช่าซื้อเกินกำหนดเวลาโดยจำเลยที่1ไม่ได้โต้แย้งพฤติการณ์ถือว่าคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญาสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันนับแต่วันที่โจทก์ยึดรถ เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยเหตุอื่นเพราะคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันมิใช่เลิกกันโดยผลของสัญญาเพราะเหตุที่จำเลยที่1ผิดสัญญาเช่าซื้อคู่สัญญาจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอีกต่อไปโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจึงฟ้องเรียกราคารถส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาข้อ9ซึ่งระงับไปแล้วไม่ได้แต่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายแก่โจทก์ในการที่จำเลยใช้รถของโจทก์ในระหว่างที่จำเลยยังไม่ได้ส่งมอบคืนรถแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391วรรคหนึ่งและวรรคสาม จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ต้องร่วมรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์โดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหานี้โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาเพียงให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยทั้งสามรับผิดเกินกว่าค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ส่วนที่เกินจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4938/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยความสมัครใจและผลกระทบต่อสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อ
แม้ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 8 ระบุว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดยอมให้ถือว่าสัญญานี้เลิกกันโดยโจทก์มิต้องบอกกล่าวก่อนและข้อ 10 ระบุว่า ถ้าโจทก์ยอมผ่อนผันกรณีที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดหรือผิดสัญญาครั้งใดอย่างใด ไม่ให้ถือว่าเป็นการผ่อนผันการผิดนัดหรือผิดสัญญาครั้งอื่นก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อเกินกำหนดเวลาเกือบถึง 1 ปี และครั้งสุดท้ายชำระไม่ครบจำนวนดังกล่าว โจทก์ก็ยินยอมรับไว้โดยมิทักท้วง พฤติการณ์แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ปฏิบัติต่อกันโดยมิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อรวมทั้งจำนวนเงินค่าเช่าซื้อแต่ละงวดตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญอีกต่อไป หากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาก็จะต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อตามประมวล-กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เสียก่อน
หนังสือที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ค่าเสียหายที่เป็นค่าขาดประโยชน์และราคารถส่วนที่ขายไปยังขาดภายใน 7 วัน ตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อเป็นเพียงหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายดังกล่าวเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นหนังสือบอกเลิกสัญญา
การที่โจทก์ยึดรถที่เช่าซื้อคืนมาจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1ไม่ได้โต้แย้งการยึดแต่อย่างใด เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างประสงค์หรือสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันแล้ว นับแต่วันที่โจทก์ยึดรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีนี้
กรณีที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันด้วยความสมัครใจของคู่สัญญา จึงมิใช่เป็นการเลิกสัญญากันโดยผลของสัญญาเช่าซื้อเพราะเหตุจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อหรือผิดสัญญาเช่าซื้อแต่อย่างใด แต่เป็นกรณีที่สัญญาเลิกกันด้วยเหตุอื่นคู่สัญญาจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอีกต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกราคารถส่วนที่ขายไปยังขาดค่าเช่าซื้ออยู่ โดยอาศัยข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 ซึ่งระงับไปแล้ว
หนังสือที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ค่าเสียหายที่เป็นค่าขาดประโยชน์และราคารถส่วนที่ขายไปยังขาดภายใน 7 วัน ตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อเป็นเพียงหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเสียหายดังกล่าวเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นหนังสือบอกเลิกสัญญา
การที่โจทก์ยึดรถที่เช่าซื้อคืนมาจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1ไม่ได้โต้แย้งการยึดแต่อย่างใด เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างประสงค์หรือสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันแล้ว นับแต่วันที่โจทก์ยึดรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีนี้
กรณีที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันด้วยความสมัครใจของคู่สัญญา จึงมิใช่เป็นการเลิกสัญญากันโดยผลของสัญญาเช่าซื้อเพราะเหตุจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อหรือผิดสัญญาเช่าซื้อแต่อย่างใด แต่เป็นกรณีที่สัญญาเลิกกันด้วยเหตุอื่นคู่สัญญาจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอีกต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกราคารถส่วนที่ขายไปยังขาดค่าเช่าซื้ออยู่ โดยอาศัยข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 ซึ่งระงับไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4852/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังหย่า: หักเงินที่ได้รับเกินไปได้ และการบังคับคดีโดยการขายทอดตลาด
โจทก์จำเลยมีสิทธิได้รับเงินสินสมรสคนละครึ่งเมื่อเงินอยู่ที่โจทก์เท่ากับโจทก์ได้รับส่วนของจำเลยเกินไปต้องนำส่วนที่โจทก์ได้รับเกินไปหักออกจากสินสมรสจำนวนอื่นที่โจทก์จะได้รับจากจำเลยต่อไปแม้จำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งก็ไม่เป็นการนอกฟ้องและเกินคำขอ การแบ่งสินสมรสระหว่างสามีภริยาที่หย่ากันโดยคำพิพากษาต้องแบ่งตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1533บัญญัติไว้คือแบ่งสินสมรสให้ชายหญิงได้ส่วนเท่ากันซึ่งถ้าการแบ่งไม่อาจตกลงกันได้ก็ให้นำสินสมรสออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งกันจะแบ่งโดยกำหนดราคาทรัพย์สินสมรสให้จำเลยต้องแบ่งแก่โจทก์หากจำเลยไม่ยอมแบ่งหรือไม่สามารถแบ่งได้ให้นำสินสมรสออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์จนครบหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4852/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังหย่า: หักกลบส่วนเกินที่ได้รับไปแล้ว
โจทก์จำเลยมีสิทธิได้รับเงินสินสมรสคนละครึ่ง เมื่อเงินอยู่ที่โจทก์ เท่ากับโจทก์ได้รับส่วนของจำเลยเกินไป ต้องนำส่วนที่โจทก์ได้รับเกินไปหักออกจากสินสมรสจำนวนอื่นที่โจทก์จะได้รับจากจำเลยต่อไป แม้จำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งก็ไม่เป็นการนอกฟ้องและเกินคำขอ
การแบ่งสินสมรสระหว่างสามีภริยาที่หย่ากันโดยคำพิพากษาต้องแบ่งตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 1533 บัญญัติไว้ คือแบ่งสินสมรสให้ชายหญิงได้ส่วนเท่ากัน ซึ่งถ้าการแบ่งไม่อาจตกลงกันได้ ก็ให้นำสินสมรสออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน จะแบ่งโดยกำหนดราคาทรัพย์สินสมรสให้จำเลยต้องแบ่งแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมแบ่งหรือไม่สามารถแบ่งได้ ให้นำสินสมรสออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์จนครบหาได้ไม่
การแบ่งสินสมรสระหว่างสามีภริยาที่หย่ากันโดยคำพิพากษาต้องแบ่งตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 1533 บัญญัติไว้ คือแบ่งสินสมรสให้ชายหญิงได้ส่วนเท่ากัน ซึ่งถ้าการแบ่งไม่อาจตกลงกันได้ ก็ให้นำสินสมรสออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน จะแบ่งโดยกำหนดราคาทรัพย์สินสมรสให้จำเลยต้องแบ่งแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมแบ่งหรือไม่สามารถแบ่งได้ ให้นำสินสมรสออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์จนครบหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4804/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดิน: ต้องรอคำวินิจฉัย คชก.ตำบลก่อน จึงค่อยฟ้องคู่กรณี หรือฟ้องบังคับ คชก.ตำบล
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54วรรคสอง,56วรรคหนึ่ง,57กำหนดขั้นตอนในกรณีที่ผู้รับโอนไม่ยอมขายนาให้แก่ผู้เช่านาว่าผู้เช่านาต้องร้องขอต่อคชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยก่อนเมื่อคชก.ตำบลวินิจฉัยแล้วคู่กรณีไม่พอใจก็อุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัดและเมื่อคชก.จังหวัดวินิจฉัยแล้วยังไม่พอใจจึงมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่ายื่นคำร้องต่อคชก.ตำบลภายในกำหนดแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับคำวินิจฉัยจากคชก.ตำบลตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา13และมาตรา54หากคชก.ตำบลไม่วินิจฉัยในเวลาอันควรก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปฟ้องบังคับให้คชก.ตำบลวินิจฉัยเสียก่อนมิใช่มาฟ้องคู่กรณีโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ยื่นคำร้องต่อคชก.ตำบลแล้วแต่คชก.ตำบลยังมิได้มีคำวินิจฉัยดังนี้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4804/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้เช่านาต้องร้อง คชก. ก่อนฟ้องคดี หาก คชก.ไม่วินิจฉัยต้องฟ้องบังคับ คชก. ไม่ใช่ฟ้องคู่กรณี
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา54 วรรคสอง, 56 วรรคหนึ่ง, 57 กำหนดขั้นตอนในกรณีที่ผู้รับโอนไม่ยอมขายนาให้แก่ผู้เช่านาว่า ผู้เช่านาต้องร้องขอต่อ คชก.ตำบล เพื่อวินิจฉัยก่อน เมื่อ คชก.ตำบลวินิจฉัยแล้ว คู่กรณีไม่พอใจก็อุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัด และเมื่อ คชก.จังหวัดวินิจฉัยแล้วยังไม่พอใจจึงมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่ายื่นคำร้องต่อ คชก.ตำบลภายในกำหนดแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับคำวินิจฉัยจาก คชก.ตำบลตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 13 และมาตรา 54 หาก คชก.ตำบลไม่วินิจฉัยในเวลาอันควรก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปฟ้องบังคับให้ คชก.ตำบลวินิจฉัยเสียก่อน มิใช่มาฟ้องคู่กรณี โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ยื่นคำร้องต่อ คชก.ตำบลแล้ว แต่ คชก.ตำบล ยังมิได้มีคำวินิจฉัย ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4705/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำซัดทอดของผู้ต้องหาร่วมกับพยานหลักฐานอื่นประกอบกับระยะเวลาอันใกล้งาน มีน้ำหนักรับฟังได้
แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่2จะเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกันตามธรรมดาจะมีน้ำหนักน้อยแต่เมื่อรับฟังประกอบกับระยะเวลาที่สายลับไปทำการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่2จนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นจำเลยและพบธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อจากจำเลยแทบจะในทันทีทันใดแล้วคำซัดทอดดังกล่าวมีน้ำหนักรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4705/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำซัดทอดประกอบพยานหลักฐานอื่นมีน้ำหนักรับฟังได้
แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 จะเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน ตามธรรมดาจะมีน้ำหนักน้อยแต่เมื่อรับฟังประกอบกับระยะเวลาที่สายลับไปทำการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 จนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นจำเลย และพบธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อจากจำเลยแทบจะในทันทีทันใดแล้ว คำซัดทอดดังกล่าวมีน้ำหนักรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3846/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการนำสืบพยานเพื่อพิสูจน์เอกสารปลอม แม้ไม่ได้ยกข้อต่อสู้ไว้ก่อน
การที่จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบว่า โจทก์ที่ 2 ไม่ได้ไปสำนักงานที่ดินอำเภอ ในวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินตามหนังสือสัญญาขายที่ดิน และไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงมีลายมือชื่อโจทก์ที่ 2 ปรากฏอยู่ในเอกสารดังกล่าวนั้น เป็นการนำสืบเพื่อแสดงให้เห็นว่าหนังสือสัญญาขายที่ดินเป็นเอกสารปลอม จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบได้เช่นนั้นตาม ป.วิ.พ.มาตรา 94 วรรคสอง
โจทก์ทั้งสี่เพียงแต่บรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 ในฐานะส่วนตัวมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ร่วมกับ จ.และจำเลยโดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับหนังสือสัญญาขายที่ดิน เมื่อจำเลยให้การว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้อง จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องให้การถึงหนังสือสัญญาขายที่ดินที่โจทก์ไม่ได้บรรยายมาในฟ้องนั้น และเมื่อต่อมาโจทก์นำหนังสือสัญญาขายที่ดินมาสืบเป็นพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบให้เห็นว่า หนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.3 เป็นเอกสารปลอมเพื่อสนับสนุนข้อเถียงของจำเลยตามที่ได้ให้การไว้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้องแต่เพียงผู้เดียวได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าหนังสือสัญญาขายที่ดินเป็นเอกสารปลอมก็ตาม
โจทก์ทั้งสี่เพียงแต่บรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 ในฐานะส่วนตัวมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ร่วมกับ จ.และจำเลยโดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับหนังสือสัญญาขายที่ดิน เมื่อจำเลยให้การว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้อง จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องให้การถึงหนังสือสัญญาขายที่ดินที่โจทก์ไม่ได้บรรยายมาในฟ้องนั้น และเมื่อต่อมาโจทก์นำหนังสือสัญญาขายที่ดินมาสืบเป็นพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบให้เห็นว่า หนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.3 เป็นเอกสารปลอมเพื่อสนับสนุนข้อเถียงของจำเลยตามที่ได้ให้การไว้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้องแต่เพียงผู้เดียวได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าหนังสือสัญญาขายที่ดินเป็นเอกสารปลอมก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3846/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานบุคคลเพื่อพิสูจน์เอกสารปลอม แม้ไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในชั้นแรก ก็ทำได้หากมีเหตุตามฟ้อง
การที่จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบว่าโจทก์ที่2ไม่ได้ไปสำนักงานที่ดินในวันทำสัญญา ซื้อขาย ที่ดิน และไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงมีลายมือชื่อโจทก์ที่2ปรากฏอยู่ในหนังสือ สัญญาซื้อขายที่ดินที่ระบุว่า จ. กับโจทก์ที่2และจำเลยร่วมกันเป็นผู้ซื้อนั้นเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่าเอกสารนั้นเป็น เอกสารปลอม จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบได้เช่นนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94วรรคสอง โจทก์ทั้งสี่เพียงแต่ บรรยายฟ้องว่าโจทก์ที่2ในฐานะส่วนตัวมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์กับเจ้ามรดกและจำเลยโดยมิได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเมื่อจำเลยให้การว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้มี สิทธิครอบครองที่ดินจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องให้การถึงหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวฉะนั้นเมื่อต่อมาโจทก์นำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินนั้นมาสืบจำเลยย่อมมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบว่าเป็นเอกสารปลอมเพื่อสนับสนุนข้อเถียงของจำเลยที่ได้ให้การว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินได้ไม่เป็นการสืบนอกคำให้การ