คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพศาล รางชางกูร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 952 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 278/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้มอบหมายหน้าที่และการประมาทเลินเล่อทางการเงิน
การที่จำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมด ซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จัดทำบัญชี แต่มิได้จัดทำไว้ตามระเบียบและจำเลยที่ 2 ก็มิได้ควบคุมดูแลให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติให้ถูกต้อง หากจำเลยที่ 2 ควบคุมดูแลจะทราบได้ว่ามีการปลอมเอกสารและจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไป แม้จำเลยที่ 2 จะได้แต่งตั้งให้ จ.ควบคุมดูแลอีกชั้นหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 2เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิด
ส่วนความเสียหายที่จำเลยที่ 1 ปลอมลายมือชื่อจำเลยที่ 2ลงในเช็คแล้วนำไปเบิกเงินจากธนาคารนั้น ความเสียหายของโจทก์ทั้งสองย่อมเกิดขึ้นแล้ว ส่วนเงินจำนวนดังกล่าวแม้จะมีคนต้องรับผิดหลายคน โจทก์ทั้งสองจะเลือกฟ้องให้บางคนรับผิดก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดลักทรัพย์ที่รวมอยู่ในความผิดปล้นทรัพย์ ศาลลงโทษฐานลักทรัพย์ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปล้นเอาเงินสดของส.ไป โดยร่วมกันใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทง ส. เป็นเหตุให้ ส.ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 และ 340 คดีฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 ได้ล้วงเอาเงินสดจากผู้ตายไปจริง อันเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกอีกคนหนึ่งลักทรัพย์ของทายาทผู้ตายเท่านั้น ข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังเลยไปถึงว่า จำเลยที่ 2ได้ร่วมกับคนร้ายอื่นชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์หรือฆ่าผู้ตายตามฟ้อง ซึ่งความผิดฐานลักทรัพย์เป็นความผิดที่มีการกระทำรวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานลักทรัพย์ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย
ลำพังแต่คำให้การซัดทอดในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคนร้ายด้วยกัน ย่อมไม่อาจฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาจากปล้นทรัพย์ฆ่าเป็นลักทรัพย์ และการรับฟังคำซัดทอดของจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปล้นเอาเงินสดของส.ไปโดยร่วมกันใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทง ส. เป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,289และ340คดีฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่2ได้ล้วงเอาเงินสดจากผู้ตายไปจริงอันเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกอีกคนหนึ่งลักทรัพย์ของทายาทผู้ตายเท่านั้นข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังเลยไปถึงว่าจำเลยที่2ได้ร่วมกับคนร้ายอื่นชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์หรือฆ่าผู้ตายตามฟ้องซึ่งความผิดฐานลักทรัพย์เป็นความผิดที่มีการกระทำรวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่2ฐานลักทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา192วรรคท้าย ลำพังแต่คำให้การซัดทอดในชั้นสอบสวนของจำเลยที่2ซึ่งเป็นคนร้ายด้วยกันย่อมไม่อาจฟังลงโทษจำเลยที่1ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างร่วมและค่าเสียหายทางจิตใจจากการพิการไม่ซ้ำซ้อน
จำเลยที่1เป็นลูกจ้างขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่2ซึ่งจำเลยที่2ได้นำเข้าร่วมกิจการเดินรถร่วมกับจำเลยที่3โดยได้ให้ประโยชน์แก่จำเลยที่3เป็นรายเที่ยวและให้ค่าต่อสัญญาเป็นรายปีถือได้ว่าจำเลยที่3และที่2ร่วมกันเป็นนายจ้างของจำเลยที่1จำเลยที่1ทำละเมิดจำเลยที่3จึงต้องร่วมรับผิดด้วยหาจำต้องมีการแบ่งผลประโยชน์ในการประกอบกิจการไม่ ค่าขาดความสุขสำราญเพราะร่างกายพิการทำให้สังคมรังเกียจอับอายขายหน้าไม่ได้เล่นกีฬาไม่ได้สมรสเป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับความรู้สึกทางด้านจิตใจเป็นความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา446ส่วนค่าสูญเสียความสามารถในการทำงานเป็นความเสียหายเพราะเสียความสามารถประกอบการงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา444เป็นค่าเสียหายคนละอย่างไม่ซ้ำซ้อนและแม้ค่าขาดความสุขสำราญกับค่าทนทุกขเวทนาต่างก็เป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินแต่ก็มิใช่ค่าเสียหายเดียวกันเพราะค่าขาดความสุขสำราญเป็นเรื่องการขาดหรือสูญเสียความสุขสำราญจากความรู้สึกที่ดีส่วนค่าทนทุกขเวทนาเป็นเรื่องการต้องทนยอมรับความเจ็บปวดหรือทรมานจึงแตกต่างกันไม่ซ้ำซ้อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากความพิการ: แยกค่าความรู้สึกทางจิตใจ (ขาดความสุข) กับค่าความสามารถในการทำงาน และค่าทดแทนอื่น ๆ
ค่าเสียหายเพราะร่างกายพิการทำให้สังคมรังเกียจอับอายขายหน้าไม่ได้เล่นกีฬาไม่ได้สมรสขาดความสุขสำราญเป็นเรื่องการขาดหรือสูญเสียความสุขความสำราญจากความรู้สึกที่ดีเป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับความรู้สึกทางด้านจิตใจส่วนค่าทนทุกขเวทนาเป็นเรื่องการต้องทนยอมรับความเจ็บปวดหรือทรมานซึ่งต่างก็เป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินแต่ก็มิใช่ค่าเสียหายเดียวกันจึงไม่ซ้ำซ้อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างร่วม vs. ความรับผิดทางละเมิด และค่าเสียหายทางจิตใจ/ความสามารถในการทำงาน
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้นำเข้าร่วมกิจการเดินรถร่วมกับจำเลยที่ 3 โดยได้ให้ประโยชน์แก่จำเลยที่ 3 เป็นรายเที่ยว และให้ค่าต่อสัญญาเป็นรายปี ถือได้ว่า จำเลยที่ 3และที่ 2 ร่วมกันเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทำละเมิด จำเลยที่ 3จึงต้องร่วมรับผิดด้วย หาจำต้องมีการแบ่งผลประโยชน์ในการประกอบกิจการไม่
ค่าขาดความสุขสำราญ เพราะร่างกายพิการทำให้สังคมรังเกียจอับอายขายหน้า ไม่ได้เล่นกีฬา ไม่ได้สมรส เป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับความรู้สึกทางด้านจิตใจ เป็นความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446ส่วนค่าสูญเสียความสามารถในการทำงาน เป็นความเสียหายเพราะเสียความสามารถประกอบการงานตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 เป็นค่าเสียหายคนละอย่างไม่ซ้ำซ้อน และแม้ค่าขาดความสุขสำราญกับค่าทนทุกขเวทนาต่างก็เป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน แต่ก็มิใช่ค่าเสียหายเดียวกัน เพราะค่าขาดความสุขสำราญเป็นเรื่องการขาดหรือสูญเสียความสุขสำราญจากความรู้สึกที่ดี ส่วนค่าทนทุกขเวทนา เป็นเรื่องการต้องทนยอมรับความเจ็บปวดหรือทรมาน จึงแตกต่างกัน ไม่ซ้ำซ้อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิไถ่ทรัพย์ขายฝาก: การไปสำนักงานที่ดินพร้อมเงินคือการใช้สิทธิ แม้ถอนเงินวางทรัพย์
เมื่อโจทก์จำเลยท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะก็ต้องพิจารณาถึงข้อความที่ท้าต่อกันตามรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นจดไว้ปรากฏข้อความในตอนต้นว่า"พฤติการณ์ตามคำฟ้องที่ถึงกำหนดนัดไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทโจทก์ได้ไปทำการไถ่ถอนณสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขา บางขุนเทียน แล้วแต่จำเลยไม่ไปตามนัด"จากข้อความดังกล่าวแสดงว่าจำเลยได้ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่าได้มีการนัดวันที่ไปจดทะเบียนไถ่ถอนแล้วแต่จำเลยในฐานะผู้รับซื้อฝากไม่ไปตามนัดเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปอีกว่าโจทก์ได้นำเงินจำนวน125,000บาทไปวางไว้ณสำนักงานวางทรัพย์กลางยิ่งเป็นข้อชี้ชัดว่าโจทก์มีเงินพร้อมที่จะชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาขายฝากในวันครบกำหนดนั้นแล้วถือว่าโจทก์ผู้ขายฝากพร้อมที่จะไถ่ถอนได้ภายในกำหนดแล้วแต่เป็นเพราะจำเลยไม่ไปรับไถ่ตามพฤติการณ์แห่งข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันดังกล่าวฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิขอไถ่ที่ดินพิพาทจากจำเลยภายในกำหนดเวลาตามสัญญาขายฝากแล้วแม้ผู้ขายฝากจะถอนเงินที่วางไว้คืนไปก็ไม่ใช่กรณีที่จะนำมาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิไถ่คืนการวางทรัพย์เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้ขายฝากมีเงินมาทำการไถ่คืนทรัพย์สินที่ขายฝากกับผู้รับซื้อฝากแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิไถ่ที่ดินขายฝาก: โจทก์พร้อมชำระเงินแต่จำเลยไม่ไปรับไถ่ ถือเป็นการใช้สิทธิไถ่แล้ว
เมื่อโจทก์จำเลยท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะ ก็ต้องพิจารณาถึงข้อความที่ท้าต่อกัน ตามรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นจดไว้ปรากฏข้อความในตอนต้นว่า "พฤติการณ์ตามคำฟ้องที่ถึงกำหนดนัดไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทโจทก์ได้ไปทำการไถ่ถอน ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางขุนเทียนแล้ว แต่จำเลยไม่ไปตามนัด" จากข้อความดังกล่าวแสดงว่าจำเลยได้ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่า ได้มีการนัดวันที่ไปจดทะเบียนไถ่ถอนแล้ว แต่จำเลยในฐานะผู้รับซื้อฝากไม่ไปตามนัด เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปอีกว่า โจทก์ได้นำเงินจำนวน 125,000 บาท ไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง ยิ่งเป็นข้อชี้ชัดว่า โจทก์มีเงินพร้อมที่จะชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาขายฝากในวันครบกำหนดนั้นแล้ว ถือว่า โจทก์ผู้ขายฝากพร้อมที่จะไถ่ถอนได้ภายในกำหนดแล้ว แต่เป็นเพราะจำเลยไม่ไปรับไถ่ ตามพฤติการณ์แห่งข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันดังกล่าว ฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิขอไถ่ที่ดินพิพาทจากจำเลยภายในกำหนดเวลาตามสัญญาขายฝากแล้ว แม้ผู้ขายฝากจะถอนเงินที่วางไว้คืนไป ก็ไม่ใช่กรณีที่จะนำมาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิไถ่คืน การวางทรัพย์เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่า ผู้ขายฝากมีเงินมาทำการไถ่คืนทรัพย์สินที่ขายฝากกับผู้รับซื้อฝากแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายในปริมาณมากและการลงโทษที่เหมาะสม
พยานโจทก์ทั้งสามปากต่างเป็นเจ้าพนักงานซึ่งไม่ปรากฏว่าเคยรู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยทั้งคำเบิกความก็สอดคล้องและเชื่อมโยงกันมีน้ำหนักฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมาตรา15วรรคสองบัญญัติว่าการมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท1คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่20กรัมขึ้นไปถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเมื่อจำเลยมีเฮโรอีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท1ไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้1,302กรัมจึงต้องถือว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยมียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เป็นจำนวนมากถึง1,302กรัมการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนด โทษประหารชีวิตและ ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา78ประกอบมาตรา52คง จำคุกจำเลยตลอดชีวิตนั้นจึงเป็นการใช้ ดุลพินิจในการลงโทษที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7571/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์
แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้อง แต่คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยโจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มีอำนาจหยิบยกพยานหลักฐานในสำนวนขึ้นมาวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดดังฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215
of 96