พบผลลัพธ์ทั้งหมด 952 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2266/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินสาธารณะ: ผู้ครอบครองก่อนมีสิทธิดีกว่า แม้เป็นที่สาธารณะ
แม้ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ แต่เมื่อโจทก์เข้าครอบครองและปลูกพืชไร่อยู่ก่อน จำเลยทั้งสี่ย่อมไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเข้าไปไถพืชไร่ที่โจทก์ปลูกไว้ โจทก์เป็นผู้ครอบครองอยู่ก่อนย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสี่ เมื่อจำเลยทั้งสี่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2266/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินสาธารณะ: ผู้ครอบครองก่อนมีสิทธิดีกว่า แม้ที่ดินเป็นสาธารณะ
โจทก์เข้าครอบครองและปลูกพืชไร่ในที่พิพาทอันเป็นที่สาธารณะประชาชนใช้ทำประโยชน์ร่วมกันอยู่ก่อน โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลยเมื่อจำเลยเข้าไปไถพืชไร่ที่โจทก์ปลูกไว้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องห้ามมิให้จำเลยเข้ารบกวนการครอบครองที่พิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2119/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งข้อหาและการฟ้องคดีอาญา: การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดที่เกี่ยวเนื่องกัน
การแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาทุกฐานความผิดไม่ แม้เดิมพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฎว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยมิได้แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อนจัดตั้งไม่น้อยกว่า 15 วัน อันเป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องในเรื่องการจัดตั้งสถานบริการเหมือนกัน ก็เรียกได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดฐานดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2119/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: การแจ้งข้อหาเปลี่ยนแปลงจากการสอบสวน
การแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 นั้น หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาทุกฐานความผิดไม่ ดังนั้น แม้เดิมพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยมิได้แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อนจัดตั้งไม่น้อยกว่า 15 วัน อันเป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องในเรื่องการจัดตั้งสถานบริการเหมือนกัน ก็เรียกได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดฐานดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2119/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีสถานบริการ: แม้แจ้งข้อหาไม่ครบถ้วน หากสอบสวนความผิดอื่นที่เกี่ยวเนื่องแล้ว โจทก์ยังมีอำนาจฟ้องได้
การแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาทุกฐานความผิดไม่ แม้เดิมพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยมิได้แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อนจัดตั้งไม่น้อยกว่า15 วัน อันเป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องในเรื่องการจัดตั้งสถานบริการเหมือนกัน ก็เรียกได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดฐานดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2079/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์ แม้การโอนไม่เป็นไปตามฟอร์ม
การที่ อ.ยกที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์และ ก. การยกให้นั้นมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ได้มอบโฉนดที่ดินและใบนำสำรวจพื้นที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ให้แก่โจทก์ โจทก์กับ ก.ต่างครอบครองที่ดินที่ได้รับการยกให้นั้นตามส่วนของตน เมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า10 ปี โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งว่า ก.ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งแปลงนั้น ศาลไม่อาจบังคับได้เพราะคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว แต่โจทก์เป็นบุคคลนอกคดีสามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งเป็นของโจทก์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 (2)
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งว่า ก.ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งแปลงนั้น ศาลไม่อาจบังคับได้เพราะคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว แต่โจทก์เป็นบุคคลนอกคดีสามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งเป็นของโจทก์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2079/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์และการพิสูจน์การครอบครองโดยสงบและเปิดเผย
การที่ อ. ยกที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์และ ก.การยกให้นั้นมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ได้มอบโฉนดที่ดินและใบนำสำรวจพื้นที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ให้แก่โจทก์ โจทก์กับ ก.ต่างครอบครองที่ดินที่ได้รับการยกให้นั้นตามส่วนของตน เมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งว่า ก.ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งแปลงนั้นศาลไม่อาจบังคับได้เพราะคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว แต่โจทก์เป็นบุคคลนอกคดีสามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งเป็นของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2073/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการข่มขืน: การสมคบคิดและการช่วยเหลือให้กระทำผิด
จำเลยที่ 1 ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอมจึงไม่เป็นความผิด แต่จำเลยทั้งสองได้สมคบร่วมคิดกันมาก่อนว่าจะให้จำเลยที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย และการที่จำเลยที่ 1ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายก่อนเมื่อเสร็จแล้วก็ออกจากห้องไปเปิดประตูไว้ให้จำเลยที่ 2 เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายย่อมเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ในการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 ในการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2073/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดข่มขืนกระทำชำเรา ผู้สนับสนุน และการไม่เข้าข่ายโทรมหญิง
จำเลยทั้งสองผลัดกันกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 กระทำชำเราด้วยความยินยอมของผู้เสียหายจึงไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ส่วนจำเลยที่ 2 กระทำชำเราโดยที่ผู้เสียหายมิได้ยินยอมจึงมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราแต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1ไม่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเสียแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา276 วรรคสอง จำเลยที่ 2 คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276วรรคแรกเท่านั้น จำเลยที่ 1 ได้สมคบร่วมคิดกันมาก่อนกับจำเลยที่ 2 ว่าจะให้จำเลยที่ 2 กระทำชำเราผู้เสียหายด้วยโดยเมื่อจำเลยที่ 1กระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ออกจากห้องไป เปิดประตูไว้ให้จำเลยที่ 2 เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ในการกระทำความผิดจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 ในการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2073/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความยินยอมในความผิดฐานข่มขืนฯ และการสนับสนุนความผิดทางอาญา
จำเลยทั้งสองผลัดกันกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยที่ 1กระทำชำเราด้วยความยินยอมของผู้เสียหายจึงไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราส่วนจำเลยที่ 2 กระทำชำเราโดยที่ผู้เสียหายมิได้ยินยอมจึงมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราแต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเสียแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง จำเลยที่ 2 คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรกเท่านั้น
จำเลยที่ 1 ได้สมคบร่วมคิดกันมาก่อนกับจำเลยที่ 2 ว่าจะให้จำเลยที่ 2 กระทำชำเราผู้เสียหายด้วยโดยเมื่อจำเลยที่ 1 กระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ออกจากห้องไป เปิดประตูไว้ให้จำเลยที่ 2 เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2ในการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 ในการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 ได้สมคบร่วมคิดกันมาก่อนกับจำเลยที่ 2 ว่าจะให้จำเลยที่ 2 กระทำชำเราผู้เสียหายด้วยโดยเมื่อจำเลยที่ 1 กระทำชำเราผู้เสียหายเสร็จแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ออกจากห้องไป เปิดประตูไว้ให้จำเลยที่ 2 เข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2ในการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 ในการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย