คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพศาล รางชางกูร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 952 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3779/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์อ่อนแอ ไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และมีอาวุธปืน
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียวและไม่ได้ตัวมาเบิกความ คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย บันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาและภาพถ่าย การ ชี้ตัวผู้ต้องหา ที่ผู้เสียหายเป็นผู้ชี้เป็นพยานต่อศาลว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้าย แต่พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานชั้นสอง มิได้ทำต่อหน้าศาล จำเลยไม่มีโอกาส ซักค้านเพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างชัดแก่ศาลได้ พยานโจทก์ที่เหลือมีแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและในชั้นแจ้งข้อหา บันทึกการนำชี้เกิดเหตุประกอบคำสารภาพ และภาพถ่ายผู้ต้องหานำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เมื่อจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าได้ให้ การรับสารภาพดังกล่าวเพราะถูกขู่บังคับและทำร้าย แม้โจทก์จะมีพนักงานสอบสวนผู้ดำเนินการตามเอกสารและภาพถ่ายดังกล่าวมา เป็นพยานประกอบ พยานหลักฐานโจทก์ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้อง ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตาม ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทง ไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ ผู้เสียหายแล้ว ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามฟ้องด้วย ศาลฎีกามีอำนาจ พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดทั้งสองฐานนี้ได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3771/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีจากทรัพย์สินอื่นหลังขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง การตีความสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ระบุว่า หลังจากโจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดแล้ว โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ในคดีนี้ให้แก่โจทก์อีก อ้างว่าเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ไม่เพียงพอกับเงินที่จำเลยทั้งสี่ต้องชำระตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ได้ปฏิเสธที่จะชำระหนี้เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ถ้าหากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่ชำระหนี้โจทก์ก็มีสิทธิบังคับชำระหนี้เพียงจากทรัพย์ที่จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เท่านั้น คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ในส่วนนี้อนุโลมได้ว่าเป็นการร้องขอให้งดการบังคับคดีอีกต่อไปอยู่ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นมีคำอธิบายสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งมีผลให้โจทก์สามารถติดตามยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เพื่อบังคับชำระหนี้ได้อีกจนครบมูลหนี้ จึงมีผลเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีที่ให้โจทก์บังคับคดีต่อไปได้อยู่ในตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงอาจใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 คำฟ้องโจทก์ระบุชัดเจนว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่ครบให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระจนครบ โจทก์และจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ตกลงจำกัดความรับผิดไว้ว่าถ้าหากโจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ที่ได้จำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดได้เงินไม่ครบจำนวนหนี้แล้วจำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดอีก หรือโจทก์ติดตามเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่จนครบจำนวนหนี้ไม่ได้อีก ดังนั้นเมื่อโจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่เพียงพอจำนวนหนี้ โจทก์จึงยังมีสิทธิติดตามบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ภายใน 10 ปี ได้จนครบจำนวนหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3771/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีหนี้และการชำระหนี้เพิ่มเติมหลังขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนอง
คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ระบุว่า หลังจากโจทก์ยึด-ทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดแล้ว โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ในคดีนี้ให้แก่โจทก์อีก อ้างว่าเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ไม่เพียงพอกับเงินที่จำเลยทั้งสี่ต้องชำระตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้ปฏิเสธที่จะชำระหนี้เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ถ้าหากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่ชำระหนี้ โจทก์ก็มีสิทธิบังคับชำระหนี้เพียงจากทรัพย์ที่จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เท่านั้น คำร้องของจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ในส่วนนี้อนุโลมได้ว่าเป็นการร้องขอให้งดการบังคับคดีอีกต่อไปอยู่ด้วยเมื่อศาลชั้นต้นมีคำอธิบายสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งมีผลให้โจทก์สามารถติดตามยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เพื่อบังคับชำระหนี้ได้อีกจนครบมูลหนี้ จึงมีผลเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีที่ให้โจทก์บังคับคดีต่อไปได้อยู่ในตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงอาจใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 223
คำฟ้องโจทก์ระบุชัดเจนว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่ครบ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระจนครบ โจทก์และจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ตกลงจำกัดความรับผิดไว้ว่าถ้าหากโจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ที่ได้จำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดได้เงินไม่ครบจำนวนหนี้แล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดอีก หรือโจทก์ติดตามเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่จนครบจำนวนหนี้ไม่ได้อีก ดังนั้น เมื่อโจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่เพียงพอจำนวนหนี้ โจทก์จึงยังมีสิทธิติดตามบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ภายใน 10 ปี ได้จนครบจำนวนหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3537/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำต้องห้าม: ประเด็นกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทที่เคยมีคำพิพากษาแล้ว
ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นคดีนี้โจทก์ได้ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟ้องขับไล่ออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทรายเดียวกันนี้โดยอ้างเหตุว่า โจทก์อาศัยอยู่ในบ้านพิพาท จำเลยทั้งสองบอกกล่าวให้ออกไปแล้ว โจทก์ไม่ยอมออก โจทก์ให้การต่อสู้คดีโดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับข้ออ้างตามคำบรรยายฟ้องของตนในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 3ในคดีนี้ซื้อเฉพาะที่ดินพิพาทจากโจทก์ แต่โจทก์ทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทไปด้วย เพื่อให้จำเลยที่ 3 นำที่ดินและบ้านพิพาทไปจำนองกับธนาคาร จำเลยที่ 1 และที่ 2รับซื้อฝากที่ดินและบ้านพิพาทโดยรู้อยู่แล้วว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์บ้านพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้ ต่อมาคดีที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ฟ้องขับไล่โจทก์ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินและบ้านพิพาท คดีทั้งสองมีประเด็นเดียวกันว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้ว่าโจทก์จะฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว กรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 144 เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3537/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำต้องห้าม: ประเด็นข้อพิพาทซ้ำกับคดีเดิม แม้ฟ้องก่อนมีคำพิพากษา
ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้ โจทก์ได้ถูกจำเลยที่ 1และที่ 2 ฟ้องขอให้ขับไล่ออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทรายเดียวกันนี้ โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้คดี โดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับข้ออ้างตามคำบรรยายฟ้องในครั้งนี้ ดังนั้น ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีก่อนมีประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นประเด็นเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 แม้ว่า โจทก์จะฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3537/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทที่ศาลเคยตัดสินแล้ว แม้ฟ้องก่อนมีคำพิพากษา
ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้โจทก์ได้ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟ้องขอให้ขับไล่ออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทรายเดียวกันนี้ โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1ในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้คดี โดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับข้ออ้างตามคำบรรยายฟ้องในครั้งนี้ ดังนั้น ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีก่อนมีประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นประเด็นเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้ว่าโจทก์จะฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละทิ้งร้างและการฟ้องหย่า: สิทธิฟ้องหย่าของผู้ที่ละทิ้งคู่สมรสก่อน
การที่โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยเป็นคดีแรกในปี 2529 แล้วโจทก์ย้ายออกจากบ้านของจำเลยที่เคยอยู่กินร่วมกันมาแต่แรกนานถึง8 ปีเศษ จึงเป็นการที่โจทก์ละทิ้งร้างจำเลยไปเอง เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายละทิ้งร้างจำเลยไปเช่นนี้ โจทก์จะอาศัยเหตุที่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่โจทก์จะให้จำเลยย้ายไปอยู่กับโจทก์ที่บ้านซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อนมาเป็นเหตุฟ้องหย่า โดยอ้างว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาไม่ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าต้องมีเหตุอันสมควร การละทิ้งร้างและตั้งเงื่อนไขที่ไม่ชอบธรรมไม่อาจเป็นเหตุหย่าได้
โจทก์เคยฟ้องหย่าจำเลยแล้วย้ายออกจากบ้านจำเลยที่เคยอยู่กินร่วมกันมาแต่แรกเป็นเวลาถึง 8 ปีเศษ เป็นการที่โจทก์ละทิ้งร้างจำเลยไปเอง หากโจทก์ประสงค์จะคืนดีกับจำเลยก็ชอบที่จะกลับไปอยู่กับจำเลยที่บ้านจำเลย แต่โจทก์กลับตั้งเงื่อนไขให้จำเลยย้ายไปอยู่กับโจทก์ที่บ้านโจทก์ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อน ย่อมเป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงอาศัยเหตุที่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขของโจทก์มาเป็นเหตุฟ้องหย่า โดยอ้างว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยามิได้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3506/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเมื่อจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินแล้ว แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีให้จำหน่ายคดีโดยคงคำพิพากษาเดิมไว้ก็ไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยทั้งสองยอมรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ภายในเวลาที่กำหนด ศาลพิพากษาตามยอม ครั้นถึงกำหนดจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดี จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าวให้โจทก์ฟังฝ่ายเดียวโดยเห็นว่าได้มีการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองทราบโดยชอบแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าไม่ได้รับหมายนัดของศาลให้ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวน และให้ระงับการบังคับคดีไว้ก่อน ศาลชั้นต้นยกคำร้องโดยไม่ไต่สวนจำเลยที่ 1 อุทธรณ์อีก ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้อง ของ จำเลยที่ 1โจทก์ฎีกา ในชั้นฎีกาเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ไปเรียบร้อยแล้วคดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาพิพากษาฎีกาของโจทก์อีกต่อไปศาลฎีกาชอบที่จะจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ แต่คดีนี้จะจำหน่ายคดีโดยให้คงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไว้เป็นการไม่ชอบ เพราะยังมีผลให้ดำเนินกระบวนพิจารณากันต่อไปอีกทั้ง ๆ ที่ได้มีการรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์เรียบร้อยแล้ว และไม่มีประเด็นอื่นต้องวินิจฉัยอีก ศาลฎีกาจึงต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3392/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสหลังหย่า: ศาลพิจารณาตามคำขอท้ายฟ้อง หากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาด
โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพร้อมตึกแถวซึ่งเป็นสินสมรสให้โจทก์ครึ่งหนึ่งหากแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินพร้อมตึกแถวออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่งพร้อมดอกเบี้ย การที่โจทก์ตีราคาสินสมรสเฉพาะส่วนของโจทก์จำนวน 100,000 บาท ก็เพื่อเป็นทุนทรัพย์ในการเสียค่าขึ้นศาลเท่านั้น โจทก์มิได้ขอแบ่งสินสมรสเป็นเงิน 100,000 บาท เมื่อปรากฏว่าที่ดินพร้อมตึกแถวตามฟ้องเป็นสินสมรสและโจทก์จำเลยหย่ากันแล้ว ก็ชอบที่จะให้แบ่งสินสมรสให้โจทก์และจำเลยได้ส่วนเท่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533ซึ่งถ้าการแบ่งไม่อาจตกลงกัน ก็ให้นำสินสมรสออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน
of 96