คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพศาล รางชางกูร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 952 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำนอง: แม้การกู้ยืมขาดหลักฐาน แต่จำเลยที่ 2 และ 3 ผู้จำนองยังต้องรับผิดชอบหนี้ตามสัญญา
การนำสืบถึงมูลหนี้เดิมอันเป็นที่มาแห่งหนี้ตามฟ้องเป็นการนำสืบตามประเด็นแห่งคดีหาเป็นการนำสืบนอกประเด็นไม่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 แม้การกู้ยืมเงินขาดหลักฐานตามกฎหมายก็เพียงต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีเอากับจำเลยที่ 1 เท่านั้นเมื่อหนี้การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีอยู่จริงและสมบูรณ์ตามกฎหมาย ย่อมมีการจำนองเป็นประกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 707 และ 681 เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ โจทก์ย่อมบังคับเอากับผู้จำนองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบที่มาแห่งหนี้จากการซื้อขายรถยนต์เพื่อยืนยันการกู้ยืม และความรับผิดของผู้จำนอง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินแล้วนำสืบว่าการยืมเงินมีมูลหนี้เดิมมาจากการซื้อขายรถยนต์ เป็นการสืบถึงที่มาแห่งหนี้โดยละเอียดว่าหนี้นั้นมีมูลมาอย่างไร ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น เมื่อการยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีอยู่จริงและสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว เพียงแต่ขาดหลักฐานแห่งการกู้ยืม ตามกฎหมายห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีเอากับจำเลยที่ 1 เท่านั้น หนี้ดังกล่าวมีการจำนองเป็นประกัน เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามสัญญายืมจึงย่อมบังคับเอากับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้จำนองได้ เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้อุทธรณ์ว่า การนำสืบถึงมูลหนี้เดิมของการยืมเป็นการสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) แล้ว จำเลยที่ 2และที่ 3 จะยกขึ้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1577/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการร้องสอดและการฟ้องคดีใหม่ เมื่อคดีเดิมสิ้นผลไปแล้ว
แม้ผู้ร้องสอดจะมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้ก็ตาม แต่ได้ความตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องแถวพิพาท และจำเลยได้ส่งมอบห้องแถวพิพาทให้แก่โจทก์ อีกทั้งจำเลยไม่ได้อยู่ในห้องแถวพิพาทอีกต่อไปแล้ว ซึ่งผู้ร้องสอดมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าไม่เป็นความจริงข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฎีกาของโจทก์ดังกล่าว ดังนี้ หากศาลฎีกาจะมีคำสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดี แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ทั้งหมด ก็จะทำให้คดีดังกล่าวข้างต้นต้องล่าช้าไม่เป็นประโยชน์แก่คู่กรณี ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ผู้ร้องสอดไปฟ้องเป็นคดีใหม่ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1577/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการร้องสอดและการฟ้องคดีใหม่: เมื่อคดีสิ้นสุดแล้ว ผู้ร้องสอดต้องฟ้องคดีใหม่เพื่อคุ้มครองสิทธิ
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาขับไล่จำเลยทั้งหมดและบริวารออกจากห้องแถวพิพาท และจำเลยทั้งหมดได้ออกจากห้องแถวพิพาทแล้ว ดังนั้นแม้ผู้ร้องสอดจะมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้ก็ตามแต่การที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้น อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ทั้งหมดก็จะทำให้คดีล่าช้าไม่เป็นประโยชน์แก่คู่กรณี จึงสมควรให้ผู้สอดไปฟ้องเป็นคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความความผิดตาม พ.ร.บ.ธุรกิจหลักทรัพย์: แยกความผิดของบริษัทกับกรรมการ
อายุความตามมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 เป็นอายุความสำหรับการกระทำผิดของบริษัทเฉพาะที่เป็นความผิดตามมาตรา 70 เท่านั้นกรณีที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กระทำผิดในขณะมีฐานะเป็นกรรมการของบริษัทและกระทำโดยเจตนา เป็นความผิดตามมาตรา 75 ซึ่งมีอายุความ 5 ปีนับแต่วันกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนยกเลิกภารจำยอมโดยสำคัญผิด และผลกระทบต่อสิทธิในทางเข้าออก
ที่จำเลยฎีกาว่า แม้หากการจดทะเบียนยกเลิกภาระจำยอมจะเกิดจากการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด ก็ต้องถือว่าเป็นความสำคัญผิดซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้รับมอบอำนาจโจทก์โจทก์จะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 เดิม (มาตรา 158) นั้นแม้ว่าจำเลยจะให้การต่อสู้ประเด็นข้อนี้ไว้ในคำให้การด้วยก็ตามแต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นพิพาทไว้ในชั้นชี้สองสถานและจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ ต้องถือว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้ว จึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถานและข่มขู่ด้วยอาวุธ: ศาลลงโทษจำเลยฐานบุกรุกแม้โจทก์ไม่ได้ขอโทษฐานนี้
การที่จำเลยทั้งสองเข้าไปบ้านผู้เสียหายในเวลากลางคืนโดยจำเลยที่ 1 ถือพร้ายืนคุมเชิงอยู่ที่บันไดบ้าน และจำเลยที่ 2ใช้มีดกดคอและใช้ปืนจี้ศีรษะผู้เสียหายแล้วขู่ว่าจะยิงหากขัดขืนจะถือเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายยังไม่ได้ จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันควร ตามมาตรา 364 แม้โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตราดังกล่าวมาด้วย แต่ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยทั้งสองเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ดังนี้ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 365 ประกอบมาตรา 364 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคห้าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องความผิดฐานปลอมเอกสาร ไม่ต้องระบุตัวบุคคลที่หลงเชื่อ
บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำเอกสารปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงนั้น เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ไม่จำต้องบรรยายด้วยว่า ผู้หนึ่งผู้ใดนั้นเป็นใครหรือชื่ออะไร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมเอกสารราชการเพื่อหลอกลวงและรับเงิน กรณีศาลลดโทษรอการลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยปลอมเอกสารเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง หาจำต้องบรรยายด้วยว่าผู้หนึ่งผู้ใดนั้นเป็นใครหรือชื่ออะไรคำฟ้องของโจทก์ก็สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว จำเลยกรอกข้อความและลงลายมือชื่อในช่องพนักงานเก็บเงินของกรุงเทพมหานคร และลงลายมือชื่อปลอมพร้อมประทับตราของบุคคลอื่นลงในใบเสร็จรับเงิน เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง โดยปราศจากอำนาจจึงเป็นการปลอมเอกสาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเอกสารปลอม: ไม่จำต้องระบุตัวผู้หลงเชื่อ
บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำเอกสารปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงนั้น เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิะพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) แล้ว ไม่จำต้องบรรยายด้วยว่า ผู้หนึ่งผู้ใดนั้นเป็นใครหรือชื่ออะไร
of 96