คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพศาล รางชางกูร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 952 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4058/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทจำกัด การสละประเด็น และการห้ามฎีกาในประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาล
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ ซึ่งมีมูลมาจากสัญญาต่างตอบแทนการทำไร่อ้อย จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์คิดราคาอ้อยค่าขนส่ง เงินชดเชย และดอกเบี้ยให้จำเลยไม่ถูกต้องโดยในปี 2524จำเลยควรจะได้รับเงิน 178,550 บาทเศษ แต่โจทก์คิดหักทอนบัญชีแล้วอ้างว่าจำเลยยังเป็นหนี้อยู่ 84,753 บาท ปี 2525 จำเลยควรจะได้รับเงิน 212,381 บาท แต่โจทก์คิดหักทอนบัญชีแล้วอ้างว่าจำเลยยังเป็นหนี้อยู่ 20,336 บาท นอกจากนั้นโจทก์ได้ตัดอ้อยของจำเลยจำนวน 2 ไร่ 1 งาน คิดเป็นเงิน 13,500 บาท แต่โจทก์ก็มิได้คิดหักทอนให้จำเลย ในปี 2525 จำเลยมีอ้อยประมาณ 170 ตัน แต่โจทก์ผิดสัญญามาตัดไปเพียง 10 ตัน ที่เหลือปล่อยให้แห้งตายทำให้จำเลยเสียหาย หนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมเพราะโจทก์กรอกข้อความในแบบพิมพ์ซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย คำให้การดังกล่าวจำเลยมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่า จำนวนเงินที่ระบุในหนังสือรับสภาพหนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกควรเป็นเท่าใด จำเลยคงให้การต่อสู้เกี่ยวกับหนังสือรับสภาพหนี้แต่เพียงว่าเป็นเอกสารปลอม ฉะนั้น คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำนวนเงินในหนังสือรับสภาพหนี้ถูกต้องหรือไม่ คงมีประเด็นแห่งคดีตามคำให้การเพียงว่าหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเอกสารปลอมหรือไม่ที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อนี้ไว้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่เพียงใด จึงเป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยประเด็นข้อนี้จึงชอบแล้ว ส่วนปัญหาตามฎีกาข้อต่อมาว่าหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเอกสารปลอมหรือไม่นั้น ในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเรื่องนี้ไว้และจำเลยก็มิได้โต้แย้ง ถือว่าจำเลยสละประเด็นข้อนี้แล้ว แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้ให้ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4049/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง การวางประกัน และสิทธิในการขอคืนเงินภาษีอากรเมื่อส่งออกคืน
โจทก์นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจำนวน 7,197,397 ลิตรจากประเทศสิงคโปร์เข้ามาในราชอาณาจักร แต่ไม่สามารถทำใบขนที่สมบูรณ์และปฏิบัติการเสียภาษีได้ทันที จึงทำเรื่องขอผ่อนผันนำน้ำมันออกไปก่อนและเสียภาษีอากรภายหลัง จำเลยอนุญาตโดยให้โจทก์วางเงินสดจำนวนหนึ่งไว้เพื่อเป็นประกันภาษีและอากรขาเข้าต่อมาปรากฏว่าน้ำมันที่โจทก์นำเข้ามีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ โจทก์จึงไม่ได้สูบถ่ายน้ำมันจากเรือที่นำเข้าขึ้นไปเก็บในถังบนบก และโจทก์ได้รับอนุมัติจากจำเลยให้ส่งน้ำมันดังกล่าวคืนไปยังผู้ขายที่ประเทศสิงคโปร์ ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้นำน้ำมันเข้ามาในราชอาณาจักรสำเร็จตั้งแต่ขณะที่เรือนำน้ำมันดังกล่าวเข้ามาในเขตท่าที่จะสูบถ่ายน้ำมันจากเรือไปเก็บในถังบนบก โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีอากรให้จำเลย แต่เงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลยดังกล่าวมิใช่เงินค่าภาษีอากรขาเข้า จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 9)พ.ศ. 2482 ทั้งมาตรา 112 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ได้กำหนดว่าในการวางเงินประกันเช่นนี้ พนักงานศุลกากรจะต้องทำการประเมินและแจ้งให้โจทก์ผู้นำของเข้านำภาษีอากรไปชำระเสียก่อนดังนั้น โจทก์จึงไม่ต้องขอคืนเงินภาษีอากรภายใน 6 เดือน นับแต่วันส่งของนั้นกลับออกไปตามบทบัญญัติดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4049/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางเงินประกันภาษีอากรและการคืนเงินเมื่อส่งของออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ได้ทำใบขนให้สมบูรณ์
การที่โจทก์นำน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานเข้าเป็นอันสำเร็จตั้งแต่ขณะที่เรือนำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในเขตท่าที่จะสูบถ่ายน้ำมันจากเรือไปเก็บในถังบนบก เมื่อโจทก์นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรสำเร็จ โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีอากรให้จำเลยแล้ว โจทก์ไม่สามารถทำใบขนที่สมบูรณ์และปฏิบัติตามพิธีการเสียภาษีได้ทันที น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจึงยังคงเก็บอยู่ในเรือและอยู่ในอารักขาของศุลกากร โจทก์ขอวางเงินไว้เป็นประกันและจำเลยอนุญาตแล้ว เงินประกันดังกล่าวจึงมิใช่เงินค่าภาษีอากรขาเข้าและไม่อยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 และมาตรา 112 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 กำหนดว่า ในการวางเงินเป็นประกันเช่นนี้พนักงานศุลกากรจะต้องทำการประเมินและแจ้งให้โจทก์ผู้นำของเข้านำภาษีอากรไปชำระเสียก่อน ดังนั้น โจทก์จึงไม่ต้องขอคืนเงินภาษีอากรภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ส่งของนั้นกลับออกไป และเมื่อกรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของมาตรา 19 ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามประกาศกรมศุลกากรที่ 26/2528 ข้อ 9 และ ประกาศกรมศุลกากรที่ 27/2523เรื่องการขอคืนเงินอากรตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4049/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้มาตรฐาน การวางประกันภาษี และสิทธิในการขอคืนเงินภาษีอากร
โจทก์นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน จำนวน 7,197,397 ลิตรจากประเทศสิงค์โปร์เข้ามาในราชอาณาจักร แต่ไม่สามารถทำใบขนที่สมบูรณ์และปฏิบัติการเสียภาษีได้ทันที จึงทำเรื่องขอผ่อนผันนำน้ำมันออกไปก่อนและเสียภาษีอากรภายหลัง จำเลยอนุญาตโดยให้โจทก์วางเงินสดจำนวนหนึ่งไว้เพื่อเป็นประกันภาษีและอากรขาเข้าต่อมาปรากฏว่าน้ำมันที่โจทก์นำเข้ามีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ โจทก์จึงไม่ได้สูบถ่ายน้ำมันจากเรือที่นำเข้าขึ้นไปเก็บในถังบนบก และโจทก์ได้รับอนุญาติจากจำเลยให้ส่งน้ำมันคืนไปยังผู้ขายที่ประเทศสิงค์โปร์ ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้นำน้ำมันเข้ามาในราชอาณาจักรสำเร็จตั้งแต่ขณะที่เรือนำน้ำมันเข้ามาในเขตท่าที่จะสูบถ่ายน้ำมันจากเรือไปเก็บในถังบนบก โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีอากรให้จำเลย แต่เงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลยมิใช่เงินค่าภาษีอากรขาเข้า จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 19แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 ทั้งมาตรา 112 ทวิแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ได้กำหนดว่าในการวางเงินประกันเช่นนี้ พนักงานศุลกากรจะต้องทำการประเมินและแจ้งให้โจทก์ผู้นำของเข้านำภาษีอากรไปชำระเสียก่อน ดังนั้นโจทก์จึงไม่ต้องขอคืนเงินภาษีอากรภายใน 6 เดือน นับแต่วันส่งของนั้นกลับออกไปตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4015/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินต้องมี罪ฐานการกระทำความผิด และมีการฟ้องลงโทษในความผิดนั้นด้วย
ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้นขึ้นและโจทก์ต้องฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่ามีความผิดฐานเสพกัญชาเกิดขึ้น และโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษฐานเสพกัญชา โจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบบ้องกัญชา มีดหั่นกัญชา และไม้ขีดไฟที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชาหาได้ไม่ มิฉะนั้นโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยทั้งสำนวนเพื่อขอให้ริบทรัพย์สินเพียงประการเดียวโดยไม่ขอให้ลงโทษจำเลยก็ย่อมกระทำได้ ซึ่งเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบบ้องกัญชามีดหั่นกัญชา และไม้ขีดไฟของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3905/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเมื่อผู้ร้องเสียชีวิตและไม่มีผู้ดำเนินการแทน
ผู้ร้องได้มรณะในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ทายาทของผู้ร้องไม่ประสงค์จะขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้ร้อง และโจทก์ไม่ประสงค์ให้ศาลหมายเรียกทายาทผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้ร้อง จึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3773/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการขายทอดตลาดหลังการบังคับคดีเสร็จสิ้น การยื่นคำร้องไม่ชอบตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ร้องทั้งสามฐานผิดสัญญาประกันและตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์อันเป็นหลักประกันออกขายทอดตลาดจนเสร็จสิ้น ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้อง ขอให้สั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดและดำเนินการขายทอดตลาดใหม่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้งสาม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองฎีกา ดังนี้มิใช่กรณีที่ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์อันจะทำให้คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 วรรคแรก ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองจึงฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3773/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งศาลและการฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีผิดสัญญาประกัน
ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ร้องทั้งสามฐานผิดสัญญาประกัน และตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์อันเป็นหลักประกันออกขายทอดตลาดจนเสร็จสิ้น ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องขอให้สั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดและดำเนินการขายทอดตลาดใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้งสาม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองฎีกา ดังนี้ มิใช่กรณีที่ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์อันจะทำให้คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคแรก ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองจึงฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3741/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินและละเมิดสิทธิการใช้ลำรางสาธารณะ จำเลยต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยปลูกสร้างอาคารบนที่ดินของจำเลย โดยก่อสร้างระเบียงคร่อมลำรางสาธารณะจนติดผนังอาคารของโจทก์ และจำเลยได้สร้างประตูเหล็กยืดปิดกั้นลำรางสาธารณะ และช่องว่างระหว่างอาคารของโจทก์กับลำรางสาธารณะทางด้านหน้าทั้งหมด ลำรางสาธารณะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อปรากฏว่าก่อนที่จำเลยจะสร้างประตูเหล็กยืดโจทก์ได้ใช้ลำรางสาธารณะเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับลำเลียงสินค้าเข้าไปในร้าน ซึ่งลำรางสาธารณะนี้ติดกับด้านข้างที่ดินของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้เป็นทางเข้าออกได้ การที่จำเลยทำประตูเหล็กยืดปิดกั้น จึงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับลำเลียงสินค้าเข้าไปในร้านได้ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ข้างเคียงได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นตามปกติ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ทำประตูเหล็กให้รื้อถอนประตูเหล็กยืดออกไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3713/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจำนองครอบคลุมหนี้ของลูกหนี้รายอื่น ผู้จำนองต้องรับผิดชอบดอกเบี้ยค้างชำระ การนำสืบภายหลัง
โจทก์ทำสัญญาจำนองในวงเงิน 390,000 บาท เพื่อประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของ ท. ที่มีต่อธนาคารจำเลยผู้รับจำนอง โดยสัญญาจำนองระบุว่า ผู้จำนองได้จำนองเพื่อประกันเงินซึ่ง ท.ได้เบิกไปจากผู้รับจำนองหรือในเงินจำนวนใดจำนวนหนึ่งซึ่งลูกหนี้เป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลาทำสัญญาจำนองหรือจะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้ากับค่าอุปกรณ์ คือ ดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนอง ผู้จำนองยอมรับผิดชอบด้วยทั้งสิ้นและว่า ผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้รับจำนองในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในจำนวนเงินทั้งสิ้นซึ่งลูกหนี้เป็นหนี้ผู้รับจำนอง ถ้าลูกหนี้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยที่กล่าวนี้ผู้จำนองยอมให้ผู้รับจำนองคำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นในบัญชีของลูกหนี้ด้วย ดังนั้น ย่อมมีความหมายว่า นอกจากโจทก์ผู้จำนองจะต้องรับผิดตามสัญญาจำนองเป็นเงิน 390,000 บาท แล้ว ยังต้องรับผิดสำหรับดอกเบี้ยเมื่อ ท. ซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยแก่จำเลยด้วย จำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบภายหลังมีสิทธิอ้างส่งสัญญาค้ำประกันเพื่อการนำสืบตามประเด็นข้อต่อสู้ได้ แม้จะมิได้ถามค้านพยานโจทก์ในข้อนี้ไว้ก่อนก็ตาม
of 96