คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 264

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 438 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2907/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารราชการ, ทำเอกสารเท็จ, และเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
จำเลยเป็นปลัดเทศบาลและเป็นเลขานุการสภาเทศบาล จำเลยไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ ประธานสภาเทศบาลจึงแต่งตั้งให้ ส.รองปลัดเทศบาลทำหน้าที่เลขานุการสภาเทศบาลแทนจำเลยจำเลยได้ใช้ให้แก้ไขรายงานการประชุมที่ ส. ทำขึ้น โดยจำเลยไม่มีอำนาจแก้ไขได้โดยพลการ เพื่อจะให้ผู้เกี่ยวข้องหลงเชื่อว่าสภาเทศบาลมีมติตามที่จำเลยได้แก้ไข โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265ประกอบด้วยมาตรา 84 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลรักษาเอกสารดังกล่าว จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 161 อีกบทหนึ่งเมื่อจำเลยนำเอกสารปลอมนั้นไปอ้างในการขออนุมัติต่อผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 อีกกระทงหนึ่ง
จำเลยในฐานะเลขานุการสภาเทศบาลเป็นผู้มีหน้าที่ทำรายงานการประชุมของสภาเทศบาล จำเลยทำรายงานการประชุมขึ้นตามอำนาจหน้าที่ของตนและลงลายมือชื่อตัวเองเป็นผู้ทำ มิได้ทำในนามของบุคคลอื่น เอกสารนั้นจึงเป็นเอกสารที่แท้จริงที่จำเลยทำขึ้นแม้ข้อความในเอกสารจะไม่เป็นความจริง ก็ไม่ทำให้เป็นเอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 แต่เป็นการทำเอกสารอันเป็นความเท็จตามมาตรา 162 เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษตามมาตรา 162 จึงลงโทษจำเลยไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คำว่า 'เพื่อ' ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ถือว่าเป็นเจตนาพิเศษ การที่จำเลยแก้ไขมติของสภาเทศบาลในรายงานการประชุมโดยไม่มีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาล หากเป็นการกระทำไปเพราะความเข้าใจผิดพลาดเกี่ยวกับระเบียบกระทรวงมหาดไทยจำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2870/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขเช็คของตนเองไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร ทำให้ข้อหาใช้เอกสารปลอมของผู้นำไปเบิกเงินไม่มีความผิด
เช็คทั้งสามฉบับเป็นเช็คของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คดังกล่าว แม้ว่าจำเลยที่ 2 จะขีดฆ่าตัดทอนจำนวนเงินที่สั่งจ่ายในเช็คเดิมทั้งตัวเลขและตัวอักษรแล้วพิมพ์เติมจำนวนเงินทั้งตัวเลขและตัวอักษรขึ้นใหม่อันเป็นเท็จ จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้ปลอมเช็คของคนอื่นหรือตั้งใจให้เป็นเช็คของคนอื่น เป็นเรื่องจำเลยที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติมเช็คของจำเลยที่ 2 เองและการที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อกำกับในเช็คดังกล่าว จึงมิได้ปลอมลายมือชื่อของผู้ใด เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร จึงเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ฟ้องว่าร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 นั้นไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารด้วย
เมื่อเช็คทั้งสามฉบับไม่ใช่เอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 1 นำไปเบิกเงินจากธนาคารจึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอกและปลอมเอกสาร การถอนฟ้องอาญา และการกำหนดจำนวนกรรม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 353 ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ร่วมขอถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) และโจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินที่ขาดแก่โจทก์ร่วม ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265 ไม่ใช่ความผิดอันยอมความได้สิทธิฟ้องของอัยการยังไม่ระงับ
เมื่อมีลูกค้าแต่ละรายนำเงินมาชำระ จำเลยก็ปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินให้มีจำนวนเงินน้อยกว่าเงินที่รับจริงแล้วยักยอกเงินส่วนที่เกินไว้นั้นการปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินฉบับหนึ่งแล้วยักยอกเอาเงินจำนวนที่เกินกว่าสำเนาใบเสร็จนั้นไว้ครั้งหนึ่ง ย่อมเป็นความผิดสำเร็จกรรมหนึ่งตั้งแต่เวลายักยอกเงินจำนวนนั้นแล้ว การที่จำเลยรวบรวมเงินแต่ละวันส่งให้หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ร่วม เป็นแต่เพียงการปฏิบัติตามหน้าที่ของจำเลย หาใช่เป็นการยักยอกเงินในตอนนั้นไม่
สำเนาใบเสร็จรับเงินเป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าได้มีการออกต้นฉบับใบเสร็จรับเงินมีข้อความตรงกับสำเนาใบเสร็จเท่านั้น ไม่ใช่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอนสงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ อันจะถือว่าเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอกและปลอมเอกสาร: การถอนฟ้องและขอบเขตความรับผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 353 ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ร่วมขอถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) และโจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินที่ขาดแก่โจทก์ร่วม ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 265 ไม่ใช่ความผิดอันยอมความได้ สิทธิฟ้องของอัยการยังไม่ระงับ
เมื่อมีลูกค้าแต่ละรายนำเงินมาชำระ จำเลยก็ปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินให้มีจำนวนเงินน้อยกว่าเงินที่รับจริงแล้วยักยอกเงินส่วนที่เกินไว้นั้น การปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินฉบับหนึ่งแล้วยักยอกเอาเงินจำนวนที่เกินกว่าสำเนาใบเสร็จนั้นไว้ครั้งหนึ่ง ย่อมเป็นความผิดสำเร็จกรรมหนึ่งตั้งแต่เวลายักยอกเงินจำนวนนั้นแล้ว การที่จำเลยรวบรวมเงินแต่ละวันส่งให้หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ร่วม เป็นแต่เพียงการปฏิบัติตามหน้าที่ของจำเลย หาใช่เป็นการยักยอกเงินในตอนนั้นไม่
สำเนาใบเสร็จรับเงินเป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าได้มีการออกต้นฉบับใบเสร็จรับเงินมีข้อความตรงกับสำเนาใบเสร็จเท่านั้น ไม่ใช่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอนสงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ อันจะถือว่าเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046-1047/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เอกสารไม่เป็นความจริง ไม่ถึงขั้นปลอมแปลง และการระงับสิทธิฟ้องร้องคดีแจ้งความเท็จ
เอกสารทั้งสองฉบับที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำขึ้นเป็นเอกสารของจำเลยซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ลงลายมือชื่อของตนเอง มิได้ปลอมลายมือชื่อของผู้ใด และมิใช่เป็นการปลอมหรือเลียนแบบเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด แม้ข้อความในเอกสารจะไม่ตรงต่อความจริงหรือเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสี่ก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารหรือปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และ 265 ดังนั้นความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 จึงไม่เกิดขึ้น
คดีทั้งสองสำนวนโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ เป็นคดีซึ่งเกิดขึ้นในคราวเดียวกัน เมื่อคดีของโจทก์ที่ 3 ตามคดีสำนวนหลัง ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้องข้อหาอื่น ส่วนข้อหาฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 สั่งว่าคดีไม่มีมูลให้ยกฟ้อง โจทก์ที่ 3 มิได้อุทธรณ์ กรณีเช่นนี้ถือได้ว่า ความผิดฐานแจ้งความเท็จสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในคดีสำนวนแรกนั้น ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธิของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในอันที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4)
(วรรคสองวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2526)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3732/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีปลอมเอกสารและการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ต้องเชื่อมโยงกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้มีสิทธิโดยตรง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารจะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะข้อความแห่งเอกสารนั้น เมื่อข้อความในเอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยปลอมไม่มีข้อความเกี่ยวถึงตัวโจทก์ การที่โจทก์ต้องเสียที่ดินไปเป็นเรื่องของการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยผู้นำชี้นำชี้ทับที่ดินของโจทก์ ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการปลอมใบมอบอำนาจ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องไม่มีข้อที่แสดงว่าจำเลยกระทำไป เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น หรือเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นแล้วคำฟ้องดังกล่าวจึงขาดองค์ประกอบความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3732/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีปลอมเอกสารและเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ต้องเสียหายโดยตรงจากเอกสารหรือการปฏิบัติหน้าที่นั้น
ความเสียหายที่เกิดขึ้นสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารจะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะข้อความแห่งเอกสารนั้นเมื่อข้อความในเอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยปลอมไม่มีข้อความเกี่ยวถึงตัวโจทก์ การที่โจทก์ต้องเสียที่ดินไปเป็นเรื่องของการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยผู้นำชี้นำชี้ทับที่ดินของโจทก์ ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการปลอมใบมอบอำนาจ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องไม่มีข้อที่แสดงว่าจำเลยกระทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นหรือเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นแล้วคำฟ้องดังกล่าวจึงขาดองค์ประกอบความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3561/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้รับมอบอำนาจไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แม้เอกสารปลอมถูกใช้ในคดีที่ตนเป็นโจทก์แทน
โจทก์เป็นเพียงผู้ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีอาญาคดีก่อน แม้ในคดีดังกล่าวจำเลยจะได้ปลอมหรือใช้เอกสารปลอมอ้างเป็นพยานหลักฐาน โจทก์ในฐานะผู้รับมอบอำนาจก็ไม่ได้รับความเสียหายด้วย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย โจทก์ในฐานะส่วนตัวย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3561/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้รับมอบอำนาจไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์เป็นเพียงผู้ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีอาญาคดีก่อนแม้ในคดีดังกล่าวจำเลยจะได้ปลอมหรือใช้เอกสารปลอมอ้างเป็นพยานหลักฐาน โจทก์ในฐานะผู้รับมอบอำนาจก็ไม่ได้รับความเสียหายด้วย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายโจทก์ในฐานะส่วนตัวย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3078/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ของผู้อื่น แม้มีเจตนาทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อ ไม่ถือเป็นความผิดฐานปลอมแปลงหรือใช้เอกสารปลอม หากเป็นเอกสารที่ออกให้ถูกต้อง
การที่จำเลยนำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์หมายเลข น. 0311 พังงา ซึ่งเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ทางราชการออกให้แก่รถยนต์ของ ส. นำไปใช้ติดกับรถยนต์จำเลยซึ่งเป็นรถยนต์อีกคันหนึ่ง แม้จะโดยมีเจตนาแสดงให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์ของจำเลยเป็นรถยนต์ที่มีหมายเลขทะเบียน น. 0311 พังงา ก็ตามเมื่อแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่แท้จริงซึ่งทางราชการออกให้แก่รถยนต์คันอื่น จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารหรือใช้เอกสารราชการปลอม
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1181/2523
of 44