พบผลลัพธ์ทั้งหมด 676 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3773/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งศาลและการฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีผิดสัญญาประกัน
ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ร้องทั้งสามฐานผิดสัญญาประกัน และตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์อันเป็นหลักประกันออกขายทอดตลาดจนเสร็จสิ้น ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องขอให้สั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดและดำเนินการขายทอดตลาดใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้งสาม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองฎีกา ดังนี้ มิใช่กรณีที่ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์อันจะทำให้คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคแรก ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองจึงฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3773/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการขายทอดตลาดหลังการบังคับคดีเสร็จสิ้น การยื่นคำร้องไม่ชอบตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ร้องทั้งสามฐานผิดสัญญาประกันและตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์อันเป็นหลักประกันออกขายทอดตลาดจนเสร็จสิ้น ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้อง ขอให้สั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดและดำเนินการขายทอดตลาดใหม่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้งสาม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองฎีกา ดังนี้มิใช่กรณีที่ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์อันจะทำให้คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 วรรคแรก ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองจึงฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3741/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินและละเมิดสิทธิการใช้ลำรางสาธารณะ จำเลยต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยปลูกสร้างอาคารบนที่ดินของจำเลย โดยก่อสร้างระเบียงคร่อมลำรางสาธารณะจนติดผนังอาคารของโจทก์ และจำเลยได้สร้างประตูเหล็กยืดปิดกั้นลำรางสาธารณะ และช่องว่างระหว่างอาคารของโจทก์กับลำรางสาธารณะทางด้านหน้าทั้งหมด ลำรางสาธารณะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อปรากฏว่าก่อนที่จำเลยจะสร้างประตูเหล็กยืดโจทก์ได้ใช้ลำรางสาธารณะเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับลำเลียงสินค้าเข้าไปในร้าน ซึ่งลำรางสาธารณะนี้ติดกับด้านข้างที่ดินของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้เป็นทางเข้าออกได้ การที่จำเลยทำประตูเหล็กยืดปิดกั้น จึงทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับลำเลียงสินค้าเข้าไปในร้านได้ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ข้างเคียงได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นตามปกติ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ทำประตูเหล็กให้รื้อถอนประตูเหล็กยืดออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3713/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจำนองครอบคลุมหนี้ของลูกหนี้รายอื่น ผู้จำนองต้องรับผิดชอบดอกเบี้ยค้างชำระ การนำสืบภายหลัง
โจทก์ทำสัญญาจำนองในวงเงิน 390,000 บาท เพื่อประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของ ท. ที่มีต่อธนาคารจำเลยผู้รับจำนอง โดยสัญญาจำนองระบุว่า ผู้จำนองได้จำนองเพื่อประกันเงินซึ่ง ท.ได้เบิกไปจากผู้รับจำนองหรือในเงินจำนวนใดจำนวนหนึ่งซึ่งลูกหนี้เป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลาทำสัญญาจำนองหรือจะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้ากับค่าอุปกรณ์ คือ ดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนอง ผู้จำนองยอมรับผิดชอบด้วยทั้งสิ้นและว่า ผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้รับจำนองในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในจำนวนเงินทั้งสิ้นซึ่งลูกหนี้เป็นหนี้ผู้รับจำนอง ถ้าลูกหนี้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยที่กล่าวนี้ผู้จำนองยอมให้ผู้รับจำนองคำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นในบัญชีของลูกหนี้ด้วย ดังนั้น ย่อมมีความหมายว่า นอกจากโจทก์ผู้จำนองจะต้องรับผิดตามสัญญาจำนองเป็นเงิน 390,000 บาท แล้ว ยังต้องรับผิดสำหรับดอกเบี้ยเมื่อ ท. ซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยแก่จำเลยด้วย จำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบภายหลังมีสิทธิอ้างส่งสัญญาค้ำประกันเพื่อการนำสืบตามประเด็นข้อต่อสู้ได้ แม้จะมิได้ถามค้านพยานโจทก์ในข้อนี้ไว้ก่อนก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3713/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจำนองครอบคลุมดอกเบี้ยค้างชำระ โจทก์ไม่ชำระดอกเบี้ยจำเลยมีสิทธิปฏิเสธไถ่ถอน
ข้อตกลงในสัญญาจำนองมีว่า นอกจากโจทก์ต้องรับผิดในเงิน390,000 บาทแล้ว ยังต้องรับผิดสำหรับดอกเบี้ยซึ่งลูกหนี้ผิดนัดด้วย ดังนั้น การที่โจทก์ขอไถ่ถอนจำนองในจำนวนเงิน390,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์เสนอขอชำระดอกเบี้ยด้วยจำเลยย่อมปฏิเสธการรับชำระหนี้และไม่ยอมให้ไถ่ถอนจำนองได้ การนำสืบพยานเอกสารตามประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบพยานภายหลัง แม้ไม่ได้นำเอกสารดังกล่าวถามค้านพยานโจทก์ไว้จำเลยก็มีสิทธิอ้างส่งเอกสารดังกล่าวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3699/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขาย แม้มิได้จดทะเบียนก็บังคับได้ หากมีหลักฐานเป็นหนังสือและชำระหนี้แล้ว
แม้สัญญาใช้คำว่า หนังสือสัญญาการซื้อขาย แต่โจทก์จำเลยมีข้อตกลงกันว่า โจทก์ในฐานะผู้ซื้อยินยอมให้จำเลยพักอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทต่อไป หากโจทก์ต้องการเข้าพักอาศัยในบ้านพิพาทเมื่อใดจำเลยยินยอม ขนย้ายสิ่งของออกจากบ้านพิพาทภายใน 1 วัน หลังจากโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบและจำเลยจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทให้โจทก์ภายใน 3 วัน ดังนี้ย่อมเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ เพราะมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ต้องรับผิด และมีการชำระหนี้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง จำเลยฎีกาว่า ที่ดินปลูกบ้านพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ จำเลยเท่านั้นมีสิทธิการเช่าอยู่อาศัย โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบบ้านพิพาทให้เท่านั้น มิได้ฟ้องขอสิทธิการเช่าด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว แต่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3618/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดสมคบยิงผู้อื่น - พยานหลักฐานไม่เพียงพอ - ยกฟ้อง
โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดแสดงว่า ก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุจำเลยได้กระทำการอย่างใดหรือมีพฤติการณ์อย่างใดแสดงถึงว่าจำเลยอาจสมคบกับคนร้ายที่ยิงผู้เสียหาย คงปรากฏแต่เพียงว่าหลังเกิดเหตุจำเลยได้วิ่งหนีไปทางเดียวกับคนร้ายเท่านั้น แต่ทางที่คนร้ายและจำเลยวิ่งหนีไปก็เป็นทางเดิน ซึ่งผู้เสียหายกับพวกและคนร้ายกับพวกและจำเลยเดินตามกันมา จำเลยก็นำสืบว่าเมื่อวิ่งออกพ้นที่เกิดเหตุแล้ว คนร้ายกับพวกก็วิ่งแยกทางไป ค.และส.พยานโจทก์ก็เบิกความว่า หลังจากเกิดเหตุแล้วจำเลยก็คงอยู่ที่บ้านจำเลยตามปกติและจำเลยยังอ้างว่าได้ไปเยี่ยมผู้เสียหายด้วยส่วนคนร้ายกับพวกได้หลบหนีไป จำเลยเบิกความไม่มีข้อพิรุธประการใดกรณียังเป็นที่สงสัยตามสมควร ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยสมคบกับคนร้ายยิงผู้เสียหาย เม็ดตะกั่วกระสุนปืนของกลางเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงสมควรให้ริบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3539/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกา: ประเด็นใหม่ที่มิได้ยกขึ้นสู่การต่อสู้ในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ แม้เป็นเรื่องความสงบเรียบร้อย
ปัญหาว่า ฟ้องโจทก์และทางนำสืบของโจทก์ขาดสาระสำคัญตามมาตรา 34 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 กล่าวคือมิได้บรรยายฟ้องและนำสืบว่าโจทก์ได้ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าต่อจำเลย และได้ส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลมติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลที่ให้เลิกการเช่านาโดยยกเว้นไม่ปฏิบัติตามมาตรา 34 วรรคแรก แห่งกฎหมายดังกล่าวเป็นโมฆะเพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3531/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฐานะทางการเงินของบริษัทกลุ่มสุราทิพย์เพียงพอชำระหนี้ แม้มีหนี้สินจำนวนมาก ศาลไม่เห็นควรให้ล้มละลาย
จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทสุรา ท. จำเลยที่ 2 มีโรงงานซึ่งเป็นโรงงานหนึ่งใน 12 โรงงานของกลุ่มบริษัท ท.แม้จะฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์จำนวน25 ล้านบาทเศษ แต่เมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทสุรา ท. มีและดำเนินกิจการอยู่ โดยกลุ่มบริษัทสุรา ท. มีสิทธิทำและขายส่งสุราได้ใน 12 เขตได้วางเงินมัดจำประกันการรับผิดต่อกรมสรรพากรเป็นเงินถึง5,088 ล้านบาท เฉพาะโรงงานจำเลยที่ 2 ต้องวางมัดจำ 461 ล้านบาทเศษนับว่าจำเลยที่ 2 อยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ได้ ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 14.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3445/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจอดรถเสียและการใช้ความระมัดระวังเพียงพอ ไม่ถือเป็นการประมาทที่เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ
รถยนต์โดยสารที่จำเลยขับยางล้อหลังระเบิดจำเลยจึงจอดรถยนต์ไว้ชิดไหล่ทางด้านซ้าย ล้อหน้าอยู่ที่ไหล่ทาง ส่วนล้อหลังด้านขวาอยู่บนถนน แล้วจำเลยได้หากิ่งไม้มาวางและเปิดสัญญาณไฟกระพริบ ถือได้ว่าจำเลยใช้ความระมัดระวังเพียงพอแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำโดยประมาท.