คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประพัฒน์ อุชุภาพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 289 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่เกิดจากหนี้เงินกู้ที่มีดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายเป็นโมฆะ
จำเลยเป็นหนี้เงินกู้โจทก์เพียง 10,000 บาท ส่วนอีก 13,800 บาทเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475มาตรา 3 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654จึงตกเป็นโมฆะ สัญญาซื้อขายที่พิพาทกำหนดราคาเท่ากับต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระ จึงเกิดจากหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแม้ราคาที่กำหนดในสัญญาจะรวมเอาต้นเงินกู้ที่โจทก์มีสิทธิได้รับไว้ด้วยก็ตาม แต่โจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาจะแบ่งแยกซื้อขายที่พิพาทบางส่วนในราคาเงินต้น 10,000 บาท ที่จำเลยค้างชำระอยู่ สัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยย่อมเป็นโมฆะทั้งฉบับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 ที่แก้ไขใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา: ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา แต่ยังต้องสืบพยานประเด็นอื่นเพิ่มเติม
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา และพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 227 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ ตามมาตรา 226 คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ในคดีส่วนอาญาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยฟังข้อเท็จจริงว่าที่จำเลยรับเงินจากล. เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ดังนั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้ แต่ฟ้องของโจทก์ยังระบุด้วยว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์และ ล. ได้มาโดยการหลอกลวงโจทก์และได้มาโดยไม่สุจริต แต่จำเลยกลับยึดเงินดังกล่าวไว้ จึงเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวอยู่ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ศาลฎีกาย่อมย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งงดสืบพยานในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลต้องพิจารณาประเด็นที่ยังไม่ได้ความชัดเจน
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษายกฟ้องนั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 227 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยเป็นมูลคดีเดียวกับคดีอาญาที่โจทก์เคยเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่าจำเลยร่วมกับ ล. ฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ซึ่งในคดีส่วนอาญานั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่จำเลยรับเงินจาก ล. เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้อย่างไรก็ตาม นอกจากโจทก์จะฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้แล้ว ยังฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอยู่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ งดสืบพยานในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลฎีกาชี้ว่าต้องสืบพยานประเด็นเพิ่มเติม หากมีข้อพิพาทนอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ยุติในคดีอาญา
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษายกฟ้องนั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามป.วิ.พ. มาตรา 227 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยเป็นมูลคดีเดียวกับคดีอาญาที่โจทก์เคยเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่าจำเลยร่วมกับ ล.ฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ซึ่งในคดีส่วนอาญานั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่จำเลยรับเงินจาก ล. เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้อย่างไรก็ตาม นอกจากโจทก์จะฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้แล้ว ยังฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตาม ป.พ.พ. มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอยู่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลและการกำหนดค่าทดแทนที่ดินเวนคืน: ประเด็นความถูกต้องของราคาและเขตอำนาจศาล
โจทก์จำเลยโต้เถียงกันว่าจำเลยกำหนดค่าทดแทนที่ดิน ของโจทก์ที่ถูกเวนคืนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ประเด็นที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันดังกล่าวเกิดจากที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งธนบุรีถูกเวนคืน มูลแห่งคดีจึงเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแพ่งธนบุรีเมื่อโจทก์ขออนุญาตฟ้องและศาลแพ่งธนบุรีอนุญาตให้โจทก์ฟ้องที่ศาลแพ่งธนบุรีแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องที่ศาลแพ่งธนบุรีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืนที่ดิน: ศาลกำหนดค่าทดแทนที่เป็นธรรมเมื่อจำเลยกำหนดราคาไม่เหมาะสม
โจทก์จำเลยโต้เถียงกันในประเด็นที่ว่า จำเลยกำหนด ค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ประเด็นดังกล่าวเกิดจากที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลแพ่งธนบุรีถูกเวนคืนมูลแห่งคดีจึงเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแพ่งธนบุรีเมื่อโจทก์ขออนุญาตฟ้องและศาลแพ่งธนบุรีอนุญาตให้โจทก์ฟ้องที่ศาลแพ่งธนบุรีแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องที่ศาลแพ่งธนบุรีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) การกำหนดค่าทดแทนให้แก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ถูกเวนคืน มีกฎหมายบัญญัติไว้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งฝ่ายรัฐบาลและเอกชน จำเลยไม่อาจกำหนดค่าทดแทนให้ตามใจชอบ เมื่อโจทก์เห็นว่าจำเลยกำหนดค่าทดแทนให้ไม่เป็นธรรม โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลกำหนดค่าทดแทนให้อย่างเป็นธรรมและเหมาะสมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างที่ขับรถประมาทจนเกิดละเมิด และสิทธิในการได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดู
จำเลยให้ ว.ลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปรับปลาที่จังหวัดภูเก็ตมาส่งที่จังหวัดสมุทรสาคร แต่ปลาที่จังหวัดภูเก็ตไม่มีว. จึงรอรับปลาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตวันเกิดเหตุ ว. ขับรถยนต์บรรทุกพาคนงานของจำเลยไปเที่ยวที่หาดป่าตอง จำเลยมีตัวแทนอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อ ว. ขับรถยนต์บรรทุกไปถึงจังหวัดภูเก็ตไม่มีปลาจำเลยก็น่าจะมีระเบียบให้คนขับรถยนต์บรรทุกมอบรถยนต์บรรทุกไว้ในความรับผิดชอบของตัวแทน แต่จำเลยไม่ได้สั่งหรือดำเนินการดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยยินยอมมอบให้ ว. ควบคุมดูแลรถยนต์บรรทุกตลอดระยะเวลาที่อยู่ในจังหวัดภูเก็ต ว. สามารถนำรถยนต์บรรทุกไปใช้ได้ตลอดเวลา การที่ว.ขับรถยนต์บรรทุกพาคนงานของจำเลยไปเที่ยว ถือได้ว่ากระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลย จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องรับผิดร่วมกับ ว. การที่ว.กระทำละเมิดเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายโจทก์ผู้บิดาจึงขาดไร้ผู้อุปการะเลี้ยงดู ย่อมมีสิทธิจะได้รับ ค่าอุปการะเลี้ยงดูอันเป็นค่าสินไหมทดแทนส่วนหนึ่ง ตามกฎหมาย โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าในขณะนั้นผู้ตาย จะได้อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2536 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง และสิทธิเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดู
จำเลยให้ ว.ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปรับปลาที่จังหวัดภูเก็ตมาส่งที่จังหวัดสมุทรสาคร แต่ปลาที่จังหวัดภูเก็ตไม่มีว.จึงรอรับปลาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต วันเกิดเหตุ ว.ขับรถยนต์บรรทุกพาคนงานของจำเลยไปเที่ยวที่หาดป่าตอง ดังนี้ จำเลยมีตัวแทนอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อ ว.ขับรถยนต์บรรทุกไปถึงจังหวัดภูเก็ตไม่มีปลา จำเลยก็น่าจะมีระเบียบให้คนขับรถยนต์บรรทุกมอบรถยนต์บรรทุกไว้ในความรับผิดชอบของตัวแทน แต่จำเลยไม่ได้สั่งหรือดำเนินการดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยยินยอมมอบให้ ว.ควบคุมดูแลรถยนต์บรรทุกตลอดระยะเวลาที่ ว.อยู่ในจังหวัดภูเก็ต ว.สามารถนำรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปใช้ได้ตลอดเวลา การที่ ว.ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุพาคนงานของจำเลยไปเที่ยว ย่อมถือได้ว่านาย ว.กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลย
การที่ ว.กระทำละเมิดเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายโจทก์ผู้เป็นบิดาจึงขาดไร้ผู้อุปการะเลี้ยงดู ย่อมมีสิทธิจะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูอันเป็นค่าสินไหมทดแทนส่วนหนึ่งตาม ป.พ.พ.มาตรา 443 วรรคสาม ประกอบมาตรา 1563 ไม่ว่าบิดามารดาจะมีฐานะมั่งมีหรือยากจนและประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองได้หรือไม่ และโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าในขณะนั้นผู้ตายจะได้อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิค่าอุปการะเลี้ยงดูเมื่อบุตรเสียชีวิตจากละเมิด ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับค่าชดเชยโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาการอุปการะเลี้ยงดูก่อนเสียชีวิต
การที่ ว. กระทำละเมิดเป็นเหตุให้ ป. บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ผู้บิดาจึงขาดไร้ผู้อุปการะเลี้ยงดูย่อมมีสิทธิจะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูอันเป็นค่าสินไหมทดแทนส่วนหนึ่งตามกฎหมาย โดยไม่จำต้องพิจารณาว่าในขณะนั้นผู้ตายได้อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง และสิทธิค่าอุปการะเลี้ยงดูเมื่อบุตรเสียชีวิต
จำเลยให้ ว.ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปรับปลาที่จังหวัดภูเก็ตมาส่งที่จังหวัดสมุทรสาครแต่ปลาที่จังหวัดภูเก็ตไม่มี ว. จึงรอรับปลาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต วันเกิดเหตุ ว. ขับรถยนต์บรรทุกพาคนงานของจำเลยไปเที่ยงที่หาดป่าตอง ดังนี้ จำเลยมีตัวแทนอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อ ว. ขับรถยนต์บรรทุกไปถึงจังหวัดภูเก็ตไม่มีปลา จำเลยก็น่า จะมีระเบียบให้คนขับรถยนต์บรรทุกมอบรถยนต์บรรทุกไว้ในความรับผิดชอบของตัวแทน แต่จำเลยไม่ได้สั่งหรือดำเนินการดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยยินยอมมอบให้ ว. ควบคุมดูแลรถยนต์บรรทุกตลอดระยะเวลาที่ ซ.อยู่ในจังหวัดภูเก็ตว. สามารถนำรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปใช้ได้ตลอดเวลา การที่ ว.ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุพาคนงานของจำเลยไปเที่ยวย่อมถือได้ว่านาย ว. กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลย การที่ ว. กระทำละเมิดเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ผู้เป็นบิดาจึงขาดไร้ผู้อุปการะเลี้ยงดูย่อมมีสิทธิจะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูอันเป็นค่าสินไหมทดแทนส่วนหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคสามประกอบมาตรา 1563 ไม่ว่าบิดามารดาจะมีฐานะมั่งมีหรือยากจนและประกอบอาชีพหาเลี้ยง ตนเองได้หรือไม่ และโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าในขณะนั้นผู้ตายจะได้อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาหรือไม่
of 29