คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประพัฒน์ อุชุภาพ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 289 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบวกโทษคดีที่ศาลรอการลงโทษ: การยอมรับของจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาถือเป็นการรับข้อเท็จจริง
เมื่อจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้น และเคยต้องโทษในคดีดังกล่าวตามฟ้องจริง ถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องโทษแต่ศาล รอการลงโทษไว้ ศาลจึงบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบวกโทษคดีเดิมที่ศาลรอการลงโทษไว้ เมื่อจำเลยรับสารภาพคดีเดิม โจทก์ไม่ต้องนำสืบพยานเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยต้องโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่854/2530 ของศาลชั้นต้นให้จำคุก 6 เดือน ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 จำเลยมา กระทำผิดในคดีนี้อีกภายใน 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ และจำเลยเคยต้องโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้นให้จำคุก 6 เดือน แต่รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี จำเลยกลับมากระทำผิดคดีนี้อีกภายในกำหนดเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ ขอให้เพิ่มโทษและบวกโทษจำคุกจำเลยเข้ากับโทษจำเลยคดีนี้ด้วย จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 854/2530และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้น และเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีดังกล่าวตามฟ้องจริง ถือได้ว่าจำเลยยอมรับ ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องโทษแต่ศาลให้รอการลงโทษไว้ศาลจึงบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการทำร้ายร่างกายและฆ่าผู้ตาย: การพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายและฆ่าโดยไม่เจตนา
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกับคนร้ายทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290,295,83 การที่จำเลยที่ 1 และ 3 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 เป็นการกระทำในเวลาเดียวกับที่คนร้ายตีผู้ตายด้วยขวาน กรณีเป็นเรื่องจำเลยที่ 1 ที่ 3 กับพวกรุมทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และผู้ตายโดยมีเจตนาที่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และผู้ตายทุกคน ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นเจตนาเดียวเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่เป็นความผิดกฎหมายหลายบทตามมาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2945/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพาไปกระทำอนาจารต่อเนื่อง กรรมเดียวผิดหลายบท
จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปส่งที่ศาลากลางจังหวัดเมื่อผู้เสียหายเชื่อตามคำหลอกลวง จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปอีกที่หนึ่งแล้วกระทำอนาจารผู้เสียหาย เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะพาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่แรกจึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2945/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพาไปกระทำอนาจารเป็นกรรมเดียว แม้มีการกระทำหลายบท
จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาผู้เสียหายไปส่งที่บริเวณงานหน้าศาลากลางจังหวัด เมื่อผู้เสียหายขึ้นรถยนต์สามล้อรับจ้างของจำเลยแล้ว จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปที่โรงเรียนแห่งหนึ่งแล้วกระทำอนาจารผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะพาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่แรกแล้ว การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 และ 284 ซึ่งกระทำต่อเนื่องกันมาตลอดโดยไม่ขาดตอน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2866/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริง และยืนตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเรื่องดอกเบี้ย
อุทธรณ์ที่ว่าเลิกจ้างโจทก์ทั้งหกเนื่องจากจำเลยประสบปัญหาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตราคาสูงและขาดแคลน ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงจำเป็นต้องยุบแผนกที่โจทก์ทั้งหกทำงานอยู่ โดยยินยอมจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ทุกคน จำเลยไม่ได้เลิกจ้างโดยกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งหก การเลิกจ้างของจำเลยจึงมีเหตุอันควร ไม่ใช่เลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมนั้นเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ที่ว่าการที่ศาลแรงงานกลางรับฟังพยานโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าพยานโจทก์เบิกความตรงกันว่าจำเลยไม่ได้ยุบแผนกแปรรูปโลหะ 2 อย่างจริงจังและการที่ศาลแรงงานกลางแปลความหมายคำให้การพยานจำเลยผิดไปจากข้อเท็จจริง เป็นการรับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลแรงงานกลางในการชั่งน้ำหนักคำพยาน จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ค่าชดเชยนั้น ต้องจ่ายทันทีเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อไม่จ่ายต้องถือว่าผิดนัด ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นแม้กฎหมายไม่ได้กำหนดให้จ่ายตั้งแต่วันเลิกจ้าง แต่สินจ้างส่วนดังกล่าวก็เป็นหนี้เงินอย่างหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการทวงถามจำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง ขณะเลิกจ้างโจทก์ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม แม้จำเลยจะอ้างว่าได้ปิดประกาศให้โจทก์ทุกคนไปรับก็ตาม จำเลยก็ไม่พ้นจากความรับผิดที่จะต้องชำระดอกเบี้ยของค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2866/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างมีหน้าที่จ่ายค่าชดเชยทันทีเมื่อเลิกจ้าง หากไม่จ่ายถือผิดนัด และต้องเสียดอกเบี้ย
นายจ้างมีหน้าที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างทันทีเมื่อเลิกจ้าง เมื่อไม่จ่ายย่อมถือว่าผิดนัด กฎหมายมิได้กำหนดให้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตั้งแต่วันเลิกจ้าง แต่ก็เป็นหนี้เงินอย่างหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการทวงถาม ย่อมต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง ขณะที่เลิกจ้างยังมีข้อโต้แย้งอยู่ว่า นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม แม้นายจ้างจะปิดประกาศให้ลูกจ้างทุกคนไปรับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่ลูกจ้างทุกคนไม่ยอมไปรับก็ตาม นายจ้างก็ไม่พ้นจากความรับผิดที่จะต้องชำระดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวให้แก่ลูกจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2676/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาให้ริบและทำลายของกลางในคดีสิ่งแวดล้อม: การอุทธรณ์และฎีกาที่ไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน และปรับ 5,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมประพฤติจำเลยริบของกลาง และให้ทำลายปูนซีเมนต์และบ่อปูนซีเมนต์ของกลางศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คดีย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่าไม่สมควรริบและทำลายลานปูนซีเมนต์และบ่อปูนซีเมนต์ของกลางอันเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยค่าจ้างค้างจ่าย: ประกาศกระทรวงมหาดไทยเฉพาะเจาะจงมีผลเหนือกว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 31วรรคแรก กำหนดให้นายจ้างจ่ายดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดในการจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างร้อยละสิบห้าต่อปี ไว้โดยเฉพาะแล้ว จะนำ ป.พ.พ.มาตรา 224 มาใช้บังคับหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยค่าจ้างค้างจ่าย: ศาลยืนตามประกาศกระทรวงมหาดไทยที่ให้จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี เหนือกว่าประมวลกฎหมายแพ่ง
จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างต้องจ่ายดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละ 15 ต่อปีแก่โจทก์ ตามที่ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 31 กำหนดไว้ มิใช่จ่ายร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224.
of 29