พบผลลัพธ์ทั้งหมด 289 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3524/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลและการใช้อำนาจทั่วไปของศาลฎีกาเพื่อแก้ไขปัญหา
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์อย่างคนอนาถา แต่ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายใน 15 วัน ต่อมาโจทก์ขอขยายเวลาไปอีก 60 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตเพียง 15 วันศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เมื่อศาลอุทธรณ์มิได้สั่งในเรื่องกำหนดระยะเวลาให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาวางศาล และตามฎีกาโจทก์เป็นเรื่องขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่กำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ให้ใหม่ด้วย ศาลฎีกาย่อมเห็นสมควรให้เวลาแก่โจทก์ได้มีโอกาสวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3418/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยพยานหลักฐานและการใช้ดุลพินิจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานจำเลยเบิกความเจือสมพยานโจทก์ก็เพราะพยานจำเลยได้เบิกความต่อศาลในคดีนี้ว่า พยานจำเลยไม่ต้องเช่าทางเดินจากจำเลย อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนคดีนี้ แม้ไม่ได้กล่าวถึงคำรับสารภาพของพยานจำเลยที่ให้การรับสารภาพต่อศาลอาญาธนบุรีว่าได้เบิกความในคดีนี้เป็นความเท็จ และยอมรับว่าได้เช่าทางพิพาทของจำเลยเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ก็เป็นเพราะศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อพยานหลักฐานของจำเลยในส่วนนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบโดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.พ.มาตรา 104 ที่ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคลาดเคลื่อนไปจากที่ปรากฎในสำนวนคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3418/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ชอบแล้ว แม้มีข้อเท็จจริงใหม่ที่พยานจำเลยให้การรับสารภาพต่อศาลอื่น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานจำเลยเบิกความเจือสมพยานโจทก์ก็เพราะพยานจำเลยได้เบิกความต่อศาลในคดีนี้ว่าพยานจำเลยไม่ต้องเช่าทางเดินจากจำเลย อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้ แม้ไม่ได้กล่าวถึงคำรับสารภาพของพยานจำเลยที่ให้การรับสารภาพต่อศาลอาญาธนบุรีว่าได้เบิกความในคดีนี้เป็นความเท็จ และยอมรับว่าได้เช่าทางพิพาทของจำเลยเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ก็เป็นเพราะศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อพยานหลักฐานของจำเลยในส่วนนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ที่ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคลาดเคลื่อนไปจากที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3282/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีที่ดินในโครงการจัดรูปที่ดิน: ข้อจำกัดด้านการโอนสิทธิและการคุ้มครองประโยชน์ของเจ้าหนี้
ที่ดินซึ่งโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดไว้นั้น เป็นที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอนสิทธิภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีเมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ถอนการยึด กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3238/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ปลอมเอกสารสิทธิเพื่อปกปิดการยักยอก สิทธิฟ้องระงับเมื่อคดีถึงที่สุด
จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินและใบรับเงินแล้วใช้เอกสารปลอมดังกล่าวแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของโจทก์ร่วม เพื่อปกปิดการกระทำของจำเลยที่ได้ยักยอกเงินบางส่วนของโจทก์ร่วมไป แม้การปลอมเอกสารดังกล่าวจะกระทำภายหลังที่จำเลยยักยอกเงินไปแล้วก็ตามแต่ก็เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับที่จำเลยได้ยักยอกเงินของโจทก์ร่วมไป โดยจำเลยมีเจตนาที่จะใช้เอกสารปลอมที่ทำขึ้นเป็นหลักฐานเพื่อยักยอกเงินของโจทก์ร่วมนั่นเอง ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมกับความผิดฐานยักยอก จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอกเงินดังกล่าว และศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ที่โจทก์ฎีกาว่าการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมเป็นการกระทำในเวลาต่างกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมกันนั้น เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวระงับไปแล้วฎีกาของโจทก์ในปัญหาดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3231/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีอาญาข้อหาปลอมแปลงเอกสารสิทธิ: ศาลต้องพิจารณาอัตราโทษเพื่อวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ได้หรือไม่
การอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีอาญานั้น ศาลจะต้องพิจารณาอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายสำหรับข้อหาแต่ละกระทงความผิดตามฟ้องว่าต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ ไม่ใช่ความผิดที่พิจารณาได้ความข้อหาปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามฟ้อง มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาทคดีโจทก์ในข้อหาดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3146/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา หากคดีอาญาตัดสินว่าไม่ประมาท คดีแพ่งก็ต้องฟังตาม
คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จำเลยที่ 1ถูกพนักงานอัยการกองคดีแขวงพระนครใต้เป็นโจทก์ฟ้อง ซึ่งมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารชน ช. โดยประมาทหรือไม่ การฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าว ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คดีอาญาดังกล่าวฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ดังนี้ศาลจะต้องฟังในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 1มิได้ขับรถยนต์โดยสารชน ช. โดยประมาทการกระทำของจำเลยที่ 1ย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3127/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมเกิดจากการใช้ทางโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาถือว่าเป็นภาระจำยอม แม้เริ่มต้นจากการยินยอม
แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้มีชื่อซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยได้ยินยอมให้โจทก์และบริวารใช้ถนนพิพาท แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องต่อมาว่าโจทก์ใช้ถนนพิพาทโดยความสงบโดยเปิดเผย และด้วยถือว่าเป็นถนนซึ่งเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ติดต่อมาเป็นเวลากว่า 20 ปีโดยผู้มีชื่อและจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินก็มิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิบนถนนแต่ประการใด ถนนดังกล่าวตลอดทั้งสายจึงตกเป็นภาระจำยอมตามกฎหมายแก่ที่ดินของโจทก์ คำว่ายินยอมตามคำฟ้องของโจทก์จึงมีความหมายว่า เจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยรู้ว่าโจทก์ใช้ถนนพิพาทแล้วมิได้หวงห้ามหรือสงวนสิทธิบนถนนพิพาทนั้นเองมิได้มีความหมายว่า โจทก์ขออนุญาตเจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยใช้ถนนพิพาทแต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ใช้ถนนพิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นภาระจำยอมเกินกว่า 10 ปี โดยมิได้ขออนุญาตใช้ถนนพิพาทจากเจ้าของที่ดินเดิมและจำเลยถนนพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3037/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง: ทรัพย์พิพาท, การจดทะเบียน, ข้อเท็จจริงนอกสำนวน
คดีมีทุนทรัพย์ในชั้นร้องขัดทรัพย์ 180,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง การที่ผู้ร้องฎีกาว่า ทรัพย์พิพาทยังไม่ได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. 2514เป็นฎีกาที่โต้เถียงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่าทรัพย์พิพาทได้จดทะเบียนแล้ว และที่ผู้ร้องฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ตามฎีกาของผู้ร้องมิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงใดที่อ้างว่าเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวนฎีกาของผู้ร้องจึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3021/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความลูกหนี้ไม่สะดุดหยุดชะงักตามการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกัน แม้เป็นลูกหนี้ร่วม
การที่ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันนั้น หามีผลไปถึงลูกหนี้ด้วยไม่ แม้จำเลยในฐานะลูกหนี้จะต้องรับผิดร่วมกับผู้ค้ำประกัน กำหนดอายุความของลูกหนี้แต่ละคนก็ต้องเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะ แต่ลูกหนี้คนนั้นเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 295 การที่ผู้ค้ำประกันผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ จึงไม่ทำให้อายุความที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจากจำเลยสะดุดหยุดลง