พบผลลัพธ์ทั้งหมด 744 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7141/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับคดีตามคำพิพากษา: การจำกัดจำนวนดอกเบี้ยที่ศาลพิพากษาให้ชำระ
เมื่อคำพิพากษาได้กำหนดโดยชัดแจ้งแล้วว่าให้จำเลยและพ.ร่วมกันชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่31มกราคม2533จนถึงวันที่1สิงหาคม2533ให้แก่ผู้ร้องแต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนวันที่1สิงหาคม2533คำนวณไม่เกินจำนวน216,260.53บาทซึ่งย่อมหมายความว่าเฉพาะดอกเบี้ยก่อนวันที่1สิงหาคม2533ซึ่งเป็นวันที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยในส่วนนี้ระหว่างวันที่31มกราคม2533จนถึงวันที่1สิงหาคม2533เท่านั้นและการคิดคำนวณดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดห้ามมิให้เกินจำนวน216,260.53บาทมิได้หมายความรวมไปถึงดอกเบี้ยส่วนอื่นก่อนวันที่1สิงหาคม2533ซึ่งเป็นส่วนที่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7141/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับคดีดอกเบี้ย: กำหนดเพดานดอกเบี้ยที่ชัดเจนเฉพาะช่วงเวลาที่ศาลพิพากษา
เมื่อคำพิพากษาได้กำหนดโดยชัดแจ้งแล้วว่า ให้จำเลยและ พ.ร่วมกันชำระเงินต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2533 จนถึงวันที่ 1สิงหาคม 2533 ให้แก่ผู้ร้อง แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2533 คำนวณไม่เกินจำนวน 216,260.53 บาท ซึ่งย่อมหมายความว่าเฉพาะดอกเบี้ยก่อนวันที่ 1สิงหาคม 2533 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ร้องฟ้องจำเลย จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยในส่วนนี้ระหว่างวันที่ 31 มกราคม 2533 จนถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2533 เท่านั้น และการคิดคำนวณดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ห้ามมิให้เกินจำนวน 216,260.53 บาท มิได้หมายความรวมไปถึงดอกเบี้ยส่วนอื่นก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2533 ซึ่งเป็นส่วนที่ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7017/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ถามค้านพยานข้ามฝ่ายและการรับฟังเอกสารประกอบคำเบิกความ ศาลไม่ต้องห้ามรับฟังเอกสารหากอีกฝ่ายไม่คัดค้าน
แม้จำเลยผู้มีหน้าที่นำสืบภายหลังมิได้ถามค้านตัวโจทก์ที่นำสืบก่อนเกี่ยวกับบันทึกถ้อยคำ(ท.ด.16)ไว้ขณะที่โจทก์เบิกความเป็นพยานก็ตามแต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้คัดค้านเสียในขณะที่จำเลยอ้างส่งเอกสารดังกล่าวประกอบคำเบิกความจำเลยจึงไม่ต้องห้ามรับฟังเอกสารนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7017/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังเอกสารประกอบคำเบิกความ แม้จำเลยมิได้ถามค้านพยานโจทก์
ป.วิ.พ. มาตรา 89 วรรคสอง
แม้จำเลยผู้มีหน้าที่นำสืบภายหลังมิได้ถามค้านตัวโจทก์ที่นำสืบก่อนเกี่ยวกับบันทึกถ้อยคำ (ท.ด.16) ไว้ขณะที่โจทก์เบิกความเป็นพยานก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้คัดค้านเสียในขณะที่จำเลยอ้างส่งเอกสารดังกล่าวประกอบคำเบิกความจำเลย จึงไม่ต้องห้ามรับฟังเอกสารนั้น
แม้จำเลยผู้มีหน้าที่นำสืบภายหลังมิได้ถามค้านตัวโจทก์ที่นำสืบก่อนเกี่ยวกับบันทึกถ้อยคำ (ท.ด.16) ไว้ขณะที่โจทก์เบิกความเป็นพยานก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้คัดค้านเสียในขณะที่จำเลยอ้างส่งเอกสารดังกล่าวประกอบคำเบิกความจำเลย จึงไม่ต้องห้ามรับฟังเอกสารนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7014/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการรับของโจร: ต้องรู้ว่าทรัพย์ได้มาจากการปล้นเพื่อลงโทษฉกรรจ์
แม้ในทางพิจารณาจะได้ความว่า การกระทำความผิดฐานรับของโจรของจำเลย ได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการปล้นทรัพย์ ซึ่งต้องด้วยลักษณะฉกรรจ์ในความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 357 วรรคสอง ก็ตาม แต่จะลงโทษจำเลยตามลักษณะฉกรรจ์ดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อได้ความว่า ในขณะกระทำความผิดจำเลยได้รู้อยู่แล้วว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ทั้งนี้ตามมาตรา 62 วรรคท้าย เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ก่อนหรือขณะกระทำความผิดจำเลยได้รู้อยู่แล้วว่าทรัพย์ของกลางเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ คดีจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจร อันต้องด้วยลักษณะฉกรรจ์ตามมาตรา 357 วรรคสอง ไม่ได้ การกระทำของจำเลยคงเป็นความผิดฐานรับของโจรทั่ว ๆ ไป ตามมาตรา 357 วรรคแรก เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6976/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้ค่าที่พักโรงแรม: ศาลฎีกาวินิจฉัยอายุความ 2 ปี ใช้บังคับกับผู้รับชดใช้ แม้ไม่ได้เป็นผู้พักอาศัย
โจทก์กับจำเลยทำธุรกิจท่องเที่ยวร่วมกันโดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะจัดส่งนักท่องเที่ยวเข้าไปพักที่โรงแรมของโจทก์โดยโจทก์จะคิดค่าบริการต่างๆที่นักท่องเที่ยวใช้บริการจากจำเลยภายหลังจำเลยได้นำนักท่องเที่ยวเข้าพักที่โรงแรมของโจทก์แล้วโจทก์ได้ออกบิลสินเชื่อเรียกเก็บเงินค่าห้องพักและอาหารจากจำเลยโจทก์จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ออกบิลสินเชื่อดังกล่าวและมีอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(4)เดิมแม้จำเลยไม่ได้เป็นผู้มาพักหรือรับบริการเองแต่จำเลยได้ตกลงไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตนเองจะเป็นผู้รับชดใช้ให้เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ในมูลหนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6976/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้ค่าที่พักโรงแรม: พิจารณาจากวันที่ออกบิลสินเชื่อ แม้จำเลยไม่ใช่ผู้พัก
โจทก์กับจำเลยทำธุรกิจท่องเที่ยวร่วมกันโดยมีข้อตกลงกันว่า จำเลยจะจัดส่งนักท่องเที่ยว เข้าไปพักที่โรงแรมของโจทก์ โดยโจทก์จะคิดค่าบริการต่าง ๆที่นักท่องเที่ยวใช้บริการจากจำเลยภายหลัง จำเลยได้นำนักท่องเที่ยวเข้าพักที่โรงแรมของโจทก์แล้ว โจทก์ได้ออกบิลสินเชื่อเรียกเก็บเงินค่าห้องพักและอาหารจากจำเลยโจทก์จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ออกบิลสินเชื่อดังกล่าวและมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(4) เดิม แม้จำเลยไม่ได้เป็นผู้มาพักหรือรับบริการเอง แต่จำเลยได้ตกลงไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตนเองจะเป็นผู้รับชดใช้ให้ เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ในมูลหนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6955/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าปรับและค่าควบคุมงานจากการก่อสร้างล่าช้า สัญญาค้ำประกันไม่ใช่หลักประกันหนี้
การจ้างก่อสร้างอาคารทั้งสามหลังรวมอยู่ในสัญญาฉบับเดียวกันรวมราคาค่าก่อสร้างเบ็ดเสร็จเป็นเงิน14,700,000บาทโดยไม่ได้จำแนกหรือระบุเฉพาะเจาะจงว่าอาคารแต่ละหลังราคาเท่าใดการก่อสร้างอาคารทั้งสามหลังกำหนดแล้วเสร็จในวันที่22มีนาคม2531ในสัญญาดังกล่าวถ้าจำเลยส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญาจำเลยยอมให้ปรับเป็นรายวันละ10,000บาทและจ่ายค่าควบคุมงานเป็นรายวันวันละ200บาทโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นค่าปรับหรือค่าควบคุมงานของอาคารหลังใดประการสำคัญหากโจทก์กับจำเลยประสงค์จะให้มีการปรับและจ่ายค่าควบคุมงานเป็นรายหลังต่อวันก็น่าจะตกลงไว้ในสัญญาให้ชัดแจ้งเมื่อไม่มีการตกลงกันเช่นนี้และกรณีมีข้อสงสัยจึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้นคือจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา11จำเลยคงต้องรับผิดในค่าปรับและค่าควบคุมงานเป็นรายวันโดยรวมอาคารทั้งสามหลัง สัญญาค้ำประกันเป็นเพียงสัญญาซึ่งผู้ค้ำประกันผูกพันต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้แทนจำเลยเท่านั้นมิใช่มัดจำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา377ที่โจทก์จะใช้สิทธิริบจำนวนเงินในสัญญาค้ำประกันในฐานะเป็นมัดจำได้ฉะนั้นแม้สัญญาค้ำประกันจะเป็นเอกสารปลอมโจทก์จะอ้างเป็นเหตุให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามจำนวนในสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ไม่ได้หากโจทก์ได้รับความเสียหายจากการปลอมและใช้สัญญาค้ำประกันปลอมอย่างไรก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปเรียกค่าเสียหายเอาจากผู้กระทำความผิดนั้นต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6955/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างก่อสร้างและสัญญาค้ำประกัน: การตีความสัญญาและขอบเขตความรับผิด
การจ้างก่อสร้างอาคารทั้งสามหลังรวมอยู่ในสัญญาฉบับเดียวกันรวมราคาค่าก่อสร้างเบ็ดเสร็จเป็นเงิน 14,700,000 บาท โดยไม่ได้จำแนกหรือระบุเฉพาะเจาะจงว่าอาคารแต่ละหลังราคาเท่าใด การก่อสร้างอาคารทั้งสามหลังกำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 22 มีนาคม 2531 ในสัญญาตกลงว่า ถ้าจำเลยส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา จำเลยยอมให้ปรับเป็นรายวันวันละ 10,000 บาทและจ่ายค่าควบคุมงานเป็นรายวันวันละ 200 บาท โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นค่าปรับหรือค่าควบคุมงานของอาคารหลังใด ประการสำคัญหากโจทก์กับจำเลยประสงค์จะให้มีการปรับและจ่ายค่าควบคุมงานเป็นรายหลังต่อวันก็น่าจะตกลงไว้ในสัญญาให้ชัดแจ้งเมื่อไม่มีการตกลงกันเช่นนี้และกรณีมีข้อสงสัย จึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้นคือจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 11จำเลยคงต้องรับผิดในค่าปรับและค่าควบคุมงานเป็นรายวันโดยรวมอาคารทั้งสามหลัง
สัญญาค้ำประกันเป็นเพียงสัญญาซึ่งผู้ค้ำประกันผูกพันต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้แทนจำเลยเท่านั้น มิใช่มัดจำตาม ป.พ.พ. มาตรา 377 ที่โจทก์จะใช้สิทธิริบจำนวนเงินในสัญญาค้ำประกันในฐานะเป็นมัดจำได้ ฉะนั้น แม้สัญญาค้ำประกันจะเป็นเอกสารปลอม โจทก์ก็จะอ้างเป็นเหตุให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามจำนวนในสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ไม่ได้ หากโจทก์ได้รับความเสียหายจากการปลอมและใช้สัญญาค้ำประกันปลอมอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปเรียกค่าเสียหายเอาจากผู้กระทำความผิดนั้นต่อไป
สัญญาค้ำประกันเป็นเพียงสัญญาซึ่งผู้ค้ำประกันผูกพันต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้แทนจำเลยเท่านั้น มิใช่มัดจำตาม ป.พ.พ. มาตรา 377 ที่โจทก์จะใช้สิทธิริบจำนวนเงินในสัญญาค้ำประกันในฐานะเป็นมัดจำได้ ฉะนั้น แม้สัญญาค้ำประกันจะเป็นเอกสารปลอม โจทก์ก็จะอ้างเป็นเหตุให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามจำนวนในสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ไม่ได้ หากโจทก์ได้รับความเสียหายจากการปลอมและใช้สัญญาค้ำประกันปลอมอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปเรียกค่าเสียหายเอาจากผู้กระทำความผิดนั้นต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6908/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับเงินค่าหุ้นมีน้ำหนักกว่าบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น แม้ไม่มีการจดแจ้งการชำระในทะเบียน
ผู้ร้องมีหนังสือของบริษัทจำเลยซึ่งม. กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัทจำเลยลงลายมือชื่อโดยประทับตราของบริษัทจำเลยยืนยันว่าบริษัทจำเลยได้รับเงินค่าหุ้นที่ค้างจากผู้ร้องแล้วมาแสดงซึ่งผู้ร้องได้อ้างส่งไว้ในชั้นสอบสวนของผู้คัดค้านที่ผู้คัดค้านอ้างว่าจากการตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยปรากฏว่าผู้ร้องยังค้างชำระค่าหุ้นแก่บริษัทจำเลยอยู่เมื่อผู้คัดค้านไม่ได้ปฏิเสธว่าหนังสือรับเงินค่าหุ้นดังกล่าวบริษัทจำเลยไม่ได้ทำขึ้นหรือทำไว้ไม่ถูกต้องหรือไม่อย่างไรหนังสือรับเงินค่าหุ้นดังกล่าวจึงรับฟังได้ การชำระเงินค่าหุ้นไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องจดแจ้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นด้วยจึงใช้ยันแก่บริษัทจำเลยรวมทั้งผู้คัดค้านได้