คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สะสม สิริเจริญสุข

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 744 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3124/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของหน่วยงานราชการต่อการสั่งซื้อของข้าราชการในสังกัด แม้ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นข้าราชการสังกัดกรมราชทัณฑ์จำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้บัญชาการเรือนจำกลาง จำเลยที่ 2เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัสดุในเรือนจำกลาง และจำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้าฝ่ายอบรมและฝึกวิชาชีพในเรือนจำกลาง จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ได้ร่วมกันสั่งซื้อสินค้าประเภทวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือในการก่อสร้างจากโจทก์โดยไม่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการจัดซื้อ อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของทางราชการ แต่ระเบียบดังกล่าวเป็นระเบียบปฏิบัติของทางราชการ กำหนดให้หน่วยราชการปฏิบัติจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 4 จะต้องคอยควบคุมดูแลให้ข้าราชการในสังกัดปฏิบัติตาม การที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบการสั่งซื้อวัสดุ การทำบัญชีหนี้สินและการส่งมอบจึงเป็นเรื่องภายในระหว่างจำเลยที่ 4 กับจำเลยที่ 1 โดยเฉพาะหาผูกพันบุคคลภายนอกไม่ จำเลยที่ 4 จะอ้างระเบียบปฏิบัติของส่วนหรือหน่วยราชการมาเพื่อให้พ้นจากความรับผิดหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบวกโทษคดีเดิมที่ศาลรอการลงโทษไว้ เมื่อจำเลยรับสารภาพคดีเดิม โจทก์ไม่ต้องนำสืบพยานเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยต้องโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่854/2530 ของศาลชั้นต้นให้จำคุก 6 เดือน ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 จำเลยมา กระทำผิดในคดีนี้อีกภายใน 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ และจำเลยเคยต้องโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้นให้จำคุก 6 เดือน แต่รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี จำเลยกลับมากระทำผิดคดีนี้อีกภายในกำหนดเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ ขอให้เพิ่มโทษและบวกโทษจำคุกจำเลยเข้ากับโทษจำเลยคดีนี้ด้วย จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 854/2530และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้น และเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีดังกล่าวตามฟ้องจริง ถือได้ว่าจำเลยยอมรับ ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องโทษแต่ศาลให้รอการลงโทษไว้ศาลจึงบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบวกโทษคดีที่ศาลรอการลงโทษ: การยอมรับของจำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาถือเป็นการรับข้อเท็จจริง
เมื่อจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้น และเคยต้องโทษในคดีดังกล่าวตามฟ้องจริง ถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องโทษแต่ศาล รอการลงโทษไว้ ศาลจึงบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบวกโทษคดีอาญาซ้ำ เมื่อจำเลยเคยต้องโทษรอการลงโทษและกลับมากระทำผิดอีก
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยต้องโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 280/2531ของศาลชั้นต้นให้จำคุก 6 เดือน ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี จำเลยกลับมากระทำผิดคดีนี้อีกภายในกำหนดเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ ขอให้บวกโทษจำเลยคดีดังกล่าวเข้ากับโทษจำเลยคดีนี้ด้วย จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 280/2531 ของศาลชั้นต้นและเคยต้องโทษในคดีดังกล่าวตามฟ้องจริง จึงถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องโทษแต่ศาลให้รอการลงโทษไว้ ศาลจึงบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2958/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการทำร้ายร่างกายและฆ่าผู้ตาย: การพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายและฆ่าโดยไม่เจตนา
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกับคนร้ายทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290,295,83 การที่จำเลยที่ 1 และ 3 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 เป็นการกระทำในเวลาเดียวกับที่คนร้ายตีผู้ตายด้วยขวาน กรณีเป็นเรื่องจำเลยที่ 1 ที่ 3 กับพวกรุมทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และผู้ตายโดยมีเจตนาที่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และผู้ตายทุกคน ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นเจตนาเดียวเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่เป็นความผิดกฎหมายหลายบทตามมาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2945/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพาไปกระทำอนาจารต่อเนื่อง กรรมเดียวผิดหลายบท
จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปส่งที่ศาลากลางจังหวัดเมื่อผู้เสียหายเชื่อตามคำหลอกลวง จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปอีกที่หนึ่งแล้วกระทำอนาจารผู้เสียหาย เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะพาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่แรกจึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2945/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพาไปกระทำอนาจารเป็นกรรมเดียว แม้มีการกระทำหลายบท
จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาผู้เสียหายไปส่งที่บริเวณงานหน้าศาลากลางจังหวัด เมื่อผู้เสียหายขึ้นรถยนต์สามล้อรับจ้างของจำเลยแล้ว จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปที่โรงเรียนแห่งหนึ่งแล้วกระทำอนาจารผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะพาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่แรกแล้ว การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 และ 284 ซึ่งกระทำต่อเนื่องกันมาตลอดโดยไม่ขาดตอน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2689/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้มละลาย: การพิสูจน์หนี้สินล้นพ้นตัวและจำนวนหนี้ที่แน่นอน
จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากันและเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วไม่ชำระ โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาขายทอดตลาดชำระหนี้ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท ได้ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้ธนาคาร ก. ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอีก 3 คดี ซึ่งยังไม่มีการชำระหนี้ จำเลยทั้งสองย้ายที่อยู่หลายครั้งโดยไม่แจ้งให้เจ้าหนี้ทราบอีกทั้งจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาจึงเป็นหนี้ที่สามารถคำนวณได้แน่นอนพฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือได้ว่า จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท อันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายได้ คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมีผลเป็นคำพิพากษา ซึ่งพ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 179(1) บัญญัติให้คิดค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลาย 50 บาท จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษา ซึ่งพิพากษาตามคำฟ้องขอให้ล้มละลาย จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องอุทธรณ์ 50 บาท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2689/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลกรณีอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมีผลเป็นคำพิพากษาพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179(1) บัญญัติให้คิดค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลายห้าสิบบาทจำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาซึ่งพิพากษาตามคำฟ้องขอให้ล้มละลาย ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องอุทธรณ์ดังกล่าว 50 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2689/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้มละลาย: พฤติการณ์หนี้สินล้นพ้นตัวและไม่มีทรัพย์สินเพียงพอชำระหนี้
จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาขายทอดตลาดชำระหนี้จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตามคำพิพากษาอีก 3 คดี ซึ่งยังไม่มีการชำระหนี้ จำเลยทั้งสองย้ายที่อยู่หลายครั้งโดยไม่แจ้งให้เจ้าหนี้ทราบ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมีผลเป็นคำพิพากษา พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179(1) บัญญัติให้คิดค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลายห้าสิบบาท จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาซึ่งพิพากษาตามคำฟ้องขอให้ล้มละลาย ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับคำฟ้องอุทธรณ์ดังกล่าว 50 บาท
of 75