คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อัครวิทย์ สุมาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 706 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9268/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีอาญาฆ่าผู้อื่น: การจับกุมและส่งตัวผู้ต้องหาต่อศาลทำให้เกิดผลต่ออายุความ
จำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเหตุเกิดเมื่อวันที่15มีนาคม2518เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้เมื่อวันที่6มีนาคม2538และส่งมอบจำเลยให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อมาวันที่10มีนาคม2538ศาลชั้นต้นออกหมายขังจำเลยไว้ในระหว่างสอบสวนมีกำหนด7วันตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอจึงถือได้ว่าได้ตัวจำเลยมาอยู่ในอำนาจศาลหรือได้ตัวจำเลยมายังศาลแล้วฉะนั้นเมื่อต่อมาวันที่13มีนาคม2538ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างสอบสวนตามคำร้องของจำเลยและโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในวันเดียวกันนั้นซึ่งยังไม่พ้นกำหนดยี่สิบปีนับแต่วันที่15มีนาคม2518จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องและได้ตัวจำเลยมายังศาลภายในกำหนดยี่สิบปีนับแต่วันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา95(1)แล้วฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9268/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีอาญา: การได้ตัวจำเลยมายังศาล
จำเลยต้องหาว่ากระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2518 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้เมื่อวันที่ 6 มีนาคม2538 และส่งมอบจำเลยให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม2538 ศาลชั้นต้นออกหมายขังจำเลยไว้ในระหว่างสอบสวนมีกำหนด 7 วัน ตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอ จึงถือได้ว่าได้ตัวจำเลยมาอยู่ในอำนาจศาลหรือได้ตัวจำเลยมายังศาลแล้ว ฉะนั้น เมื่อต่อมาวันที่ 13 มีนาคม 2538 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างสอบสวนตามคำร้องของจำเลย และโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในวันเดียวกันนั้น ซึ่งยังไม่พ้นกำหนดยี่สิบปีนับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2518จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องและได้ตัวจำเลยมายังศาลภายในกำหนดยี่สิบปี นับแต่วันกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 95 (1) แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9159/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลและการจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาล ศาลไม่คืนค่าขึ้นศาล
ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมศาลศาลจะคืนให้ได้ต้องเป็นกรณีที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา151ส่วนการจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงนั้นถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปซึ่งเป็นความผิดพลาดของโจทก์เองศาลจึงจำหน่ายคดีตามมาตรา198วรรคสองโดยไม่สั่งคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9159/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลและการจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ไม่ดำเนินคดีต่อ
ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมศาล ศาลจะคืนให้ได้ต้องเป็นกรณีที่ระบุไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 151 ส่วนการจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้จำเลยยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงนั้น ถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ซึ่งเป็นความผิดพลาดของโจทก์เองศาลจึงจำหน่ายคดีตามมาตรา 198 วรรคสอง โดยไม่สั่งคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7311/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงรับผิดร่วมกันจากการเช่าทรัพย์ และการเรียกร้องค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ในการเช่า
หนังสือที่จำเลยร่วมที่ 1 ได้ทำขึ้นมีข้อความว่า ตามที่จำเลยได้รับหมายเรียกจากศาลเพื่อดำเนินคดีในการใช้และมีโทรศัพท์มือถือพิพาทของโจทก์ไว้ในครอบครองโดยได้รับแจ้งจากโจทก์ให้นำเครื่องส่งมอบคืนและชำระหนี้ที่ยังคงค้างชำระอยู่นั้น จำเลยได้ส่งมอบคืนให้โจทก์แล้วตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2533โดยส่งคืนผ่านทางจำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 2 เพื่อนำมอบให้แก่โจทก์หากมีการดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด จำเลยร่วมที่ 1จะเป็นผู้รับผิดชอบร่วม หนังสือดังกล่าวจึงเป็นคำเสนอของจำเลยร่วมที่ 1 ที่จะร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ การที่จำเลยนำสำเนาหนังสือนั้นมาแนบท้ายคำให้การของจำเลยและขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมที่ 1 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยนั้นเป็นการสนองรับคำเสนอดังกล่าวของจำเลยร่วมที่ 1 ทำให้เกิดสัญญาระหว่างจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ซึ่งจำเลยร่วมที่ 1 ยอมร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ ดังนั้นเมื่อจำเลยต้องส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์ หากส่งคืนไม่ได้ต้องใช้ราคา และต้องรับผิดใช้เงินค่าเช่าที่ค้างชำระกับค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทนั้นให้แก่โจทก์ จำเลยร่วมที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างจำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ดังกล่าวนั้นด้วย
ที่จำเลยร่วมที่ 1 ฎีกาว่า หากไม่สามารถคืนเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทให้โจทก์ได้ จำเลยร่วมที่ 1 ต้องใช้ราคาแทนเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทตามราคาทรัพย์เครื่องละไม่เกิน 15,000 บาท มิใช่ในราคา 97,000 บาทนั้น คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยร่วมที่ 1ข้อนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
จำเลยได้ตกลงชำระค่าเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทพร้อมอุปกรณ์ในอัตราเดือนละ 1,850 บาท กับค่าเช่าหมายเลขเครื่องวิทยุคมนาคมรวมค่าธรรมเนียมใบอนุญาตกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นรายเดือนในอัตราเดือนละ500 บาท ดังนั้น หากจำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองคืนเครื่องวิทยุคมนาคม และอุปกรณ์พิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมสามารถนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทนั้นไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยได้รับค่าเช่าในอัตราดังกล่าวได้ การที่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองไม่ส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์ ย่อมทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่าในอัตราค่าเช่าดังกล่าว ดังนั้น แม้โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทแก่จำเลยแล้วโจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการให้เช่าเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทจนกว่าจะได้รับมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 27,338.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ เป็นการพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าใช้ตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาเช่าจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน27,338.27 บาท โดยให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวซึ่งถึงกำหนดชำระแล้วนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จด้วย ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,350 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์หรือชดใช้ราคานั้น เป็นการพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าใช้นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จึงไม่ใช่เป็นการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ใช้ค่าขาดประโยชน์และดอกเบี้ยซ้ำซ้อนกันอันเป็นการไม่ชอบแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7311/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาร่วมรับผิดชอบหนี้ – การยินยอมเป็นผู้ค้ำประกัน – หน้าที่ชำระหนี้ – ค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์
หนังสือที่จำเลยร่วมที่1ได้ทำขึ้นมีข้อความว่าตามที่จำเลยได้รับหมายเรียกจากศาลเพื่อดำเนินคดีในการใช้และมีโทรศัพท์มือถือพิพาทของโจทก์ไว้ในครอบครองโดยได้รับแจ้งจากโจทก์ให้นำเครื่องส่งมอบคืนและชำระหนี้ที่ยังคงค้างชำระอยู่นั้นจำเลยได้ส่งมอบคืนให้โจทก์แล้วตั้งแต่วันที่20กุมภาพันธ์2533โดยส่งคืนผ่านทางจำเลยร่วมที่1และจำเลยร่วมที่2เพื่อนำมอบให้แก่โจทก์หากมีการดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดจำเลยร่วมที่1จะเป็นผู้รับผิดชอบร่วมหนังสือดังกล่าวจึงเป็นคำเสนอของจำเลยร่วมที่1ที่จะร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์การที่จำเลยนำสำเนาหนังสือนั้นมาแนบท้ายคำให้การของจำเลยและขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมที่1เข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยนั้นเป็นการสนองรับคำเสนอดังกล่าวของจำเลยร่วมที่1ทำให้เกิดสัญญาระหว่างจำเลยและจำเลยร่วมที่1ซึ่งจำเลยร่วมที่1ยอมร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ดังนั้นเมื่อจำเลยต้องส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์หากส่งคืนไม่ได้ต้องใช้ราคาและต้องรับผิดใช้เงินค่าเช่าที่ค้างชำระกับค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทนั้นให้แก่โจทก์จำเลยร่วมที่1จึงต้องร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างจำเลยร่วมที่1ดังกล่าวนั้นด้วย ที่จำเลยร่วมที่1ฎีกาว่าหากไม่สามารถคืนเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทให้โจทก์ได้จำเลยร่วมที่1ต้องใช้ราคาแทนเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทตามราคาทรัพย์เครื่องละไม่เกิน15,000บาทมิใช่ในราคา97,000บาทนั้นคดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งฎีกาของจำเลยร่วมที่1ข้อนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย จำเลยได้ตกลงชำระค่าเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทพร้อมอุปกรณ์ในอัตราเดือนละ1,850บาทกับค่าเช่าหมายเลขเครื่องวิทยุคมนาคมรวมค่าธรรมเนียมใบอนุญาตกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นรายเดือนในอัตราเดือนละ500บาทดังนั้นหากจำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองคืนเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ย่อมสามารถนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทนั้นไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยได้รับค่าเช่าในอัตราดังกล่าวได้การที่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองไม่ส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์ย่อมทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่าในอัตราค่าเช่าดังกล่าวดังนั้นแม้โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมพิพาทแก่จำเลยแล้วโจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการให้เช่าเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทจนกว่าจะได้รับมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่1ร่วมกันชำระเงินจำนวน27,338.27บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จเป็นการพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่1ร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าใช้ตั้งแต่วันบอกเลิกสัญญาเช่าจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน27,338.27บาทโดยให้จำเลยและจำเลยร่วมที่1ร่วมกันชำระดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวซึ่งถึงกำหนดชำระแล้วนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จด้วยส่วนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ2,350บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์หรือชดใช้ราคานั้นเป็นการพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าใช้นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจึงไม่ใช่เป็นการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ใช้ค่าขาดประโยชน์และดอกเบี้ยซ้ำซ้อนกันอันเป็นการไม่ชอบแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7311/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาร่วมรับผิดชอบหนี้: การเสนอร่วมรับผิดชอบและการสนองรับคำเสนอของจำเลยร่วม
การที่จำเลยร่วมที่ 1 ทำหนังสือมีข้อความว่า "ตามที่จำเลยได้รับหมายเรียกจากศาลเพื่อดำเนินคดีในการใช้และมีโทรศัพท์มือถือพิพาทของโจทก์ไว้ในครอบครองโดยได้รับแจ้งจากโจทก์ให้นำเครื่องส่งมอบคืนและชำระหนี้ที่ยังคงค้างชำระอยู่นั้น จำเลยได้ส่งมอบคืนให้โจทก์แล้วตั้งแต่วันที่ 20กุมภาพันธ์ 2533 โดยส่งคืนผ่านทางจำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 2 เพื่อนำมอบให้แก่โจทก์ หากมีการดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด จำเลยร่วมที่ 1จะเป็นผู้รับผิดชอบร่วม" นั้น เป็นคำเสนอของจำเลยร่วมที่ 1ทำให้เกิดสัญญาระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมที่ 1 โดยจำเลยร่วมที่ 1 ต้องร่วมกับจำเลยรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาดังกล่าว การที่จำเลยร่วมที่ 1 ฎีกาว่าราคาวิทยุคมนาคมมีราคาเครื่องละไม่เกิน 15,000 บาท มิใช่ราคา 97,000 บาท เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยตกลงชำระค่าเช่าวิทยุคมนาคมพิพาทพร้อมอุปกรณ์และค่าเช่าหมายเลขเครื่องวิทยุคมนาคมรวมค่าธรรมเนียมใบอนุญาตกรมไปรษณีย์โทรเลข หากจำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองคืนเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทให้แก่โจทก์ทันทีที่โจทก์บอกเลิกสัญญา โจทก์ย่อมสามารถนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยได้รับค่าเช่าในอัตราดังกล่าวได้ การที่จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองไม่ส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่าในอัตราดังกล่าว แม้โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์จากการให้เช่าวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทจนกว่าจะได้รับมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืน การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์คิดถึงวันฟ้องพร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ เป็นการพิพากษาให้จำเลยร่วมและจำเลยร่วมที่ 1 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยของต้นเงินซึ่งถึงกำหนดชำระแล้วนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ส่วนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์พิพาทคืนโจทก์หรือชดใช้ราคา เป็นการพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการนำเครื่องวิทยุและอุปกรณ์พิพาทไปให้ผู้อื่นเช่า นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจึงไม่เป็นการกำหนดค่าเสียหายซ้ำซ้อนกันแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6971/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินติดคลองสาธารณะไม่ถือเป็นที่ดินไม่มีทางออก สิทธิผ่านที่ดินแปลงอื่นจึงไม่เกิด
เมื่อยังมีการใช้เรือสัญจรไปมาในคลองบางกอกน้อยซึ่งเป็นคลองสาธารณะอยู่คลองบางกอกน้อย จึงเป็นทางสาธารณะตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349ดังนั้นการที่ที่ดินของโจทก์อยู่ติดคลองบางกอกน้อย ซึ่งเป็นทางสาธารณะเช่นนี้จึงไม่เป็นที่ดินที่มีดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349วรรคหนึ่งโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะได้ที่ดินของจำเลยไม่เป็นทางจำเป็นของที่ดินของโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาในทำนองว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมโจทก์ได้สิทธิในทางภารจำยอมโดยอายุความแล้วนั้นปรากฎว่าในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินของจำเลยเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่และไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งศาลในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้จึงไม่มีประเด็นว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6971/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผ่านทางจำเป็น: คลองสาธารณะทำให้ที่ดินไม่ถูกล้อม, ประเด็นภาระจำยอมต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
เมื่อยังมีการใช้เรือสัญจรไปมาในคลองบางกอกน้อยซึ่งเป็นคลองสาธารณะอยู่ คลองบางกอกน้อยจึงเป็นทางสาธารณะตามความหมายของ ป.พ.พ.มาตรา 1349 ดังนั้นการที่ที่ดินของโจทก์อยู่ติดคลองบางกอกน้อยซึ่งเป็นทางสาธารณะเช่นนี้ จึงไม่เป็นที่ดินที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ตามป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะได้ ที่ดินของจำเลยไม่เป็นทางจำเป็นของที่ดินของโจทก์
ที่โจทก์ฎีกาในทำนองว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม โจทก์ได้สิทธิในทางภาระจำยอมโดยอายุความแล้วนั้น ปรากฏว่าในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินของจำเลยเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งศาลในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ จึงไม่มีประเด็นว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6760/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้โดยปราศจากมูลหนี้ ย่อมไม่มีผลบังคับใช้ได้
จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในการที่ไฟไหม้อาคารและทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จึงไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ แม้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ก็หามีผลให้จำเลยต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวไม่เพราะเป็นการรับสภาพหนี้โดยปราศจากมูลหนี้ที่จะให้รับสภาพหนี้จึงไม่มีผลบังคับแก่กันได้
of 71