พบผลลัพธ์ทั้งหมด 706 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติซื้อขายไม่ได้ สัญญาเป็นโมฆะ
ที่ดินบางส่วนตามสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่สงวนไว้ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ จึงเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ที่ซื้อขายไม่ได้ สัญญาซื้อขายและสัญญาจะซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ ผลเท่ากับจำเลยไม่เคยทำสัญญาจะซื้อขายและสัญญาซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าวกับโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยต้องรับผิดในการรอนสิทธิที่ดินดังกล่าวอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 278/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้มอบหมายหน้าที่และการประมาทเลินเล่อทางการเงิน
การที่จำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมด ซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จัดทำบัญชี แต่มิได้จัดทำไว้ตามระเบียบและจำเลยที่ 2 ก็มิได้ควบคุมดูแลให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติให้ถูกต้อง หากจำเลยที่ 2 ควบคุมดูแลจะทราบได้ว่ามีการปลอมเอกสารและจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไป แม้จำเลยที่ 2 จะได้แต่งตั้งให้ จ.ควบคุมดูแลอีกชั้นหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 2เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิด
ส่วนความเสียหายที่จำเลยที่ 1 ปลอมลายมือชื่อจำเลยที่ 2ลงในเช็คแล้วนำไปเบิกเงินจากธนาคารนั้น ความเสียหายของโจทก์ทั้งสองย่อมเกิดขึ้นแล้ว ส่วนเงินจำนวนดังกล่าวแม้จะมีคนต้องรับผิดหลายคน โจทก์ทั้งสองจะเลือกฟ้องให้บางคนรับผิดก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิด
ส่วนความเสียหายที่จำเลยที่ 1 ปลอมลายมือชื่อจำเลยที่ 2ลงในเช็คแล้วนำไปเบิกเงินจากธนาคารนั้น ความเสียหายของโจทก์ทั้งสองย่อมเกิดขึ้นแล้ว ส่วนเงินจำนวนดังกล่าวแม้จะมีคนต้องรับผิดหลายคน โจทก์ทั้งสองจะเลือกฟ้องให้บางคนรับผิดก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 278/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของเอกอัครราชทูตต่อความเสียหายจากการยักยอกเงินของลูกน้อง เนื่องจากการละเลยควบคุมดูแล
การที่จำเลยที่2ได้มอบหมายให้จำเลยที่1ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดซึ่งจำเลยที่1มีหน้าที่จัดทำบัญชีแต่มิได้จัดทำไว้ตามระเบียบและจำเลยที่2ก็มิได้ควบคุมดูแลให้จำเลยที่1ปฏิบัติให้ถูกต้องหากจำเลยที่2ควบคุมดูแลจะทราบได้ว่ามีการปลอมเอกสารและจำเลยที่1ยักยอกเงินไปแม้จำเลยที่2จะได้แต่งตั้งให้จ. ควบคุมดูแลอีกชั้นหนึ่งเมื่อจำเลยที่2เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยที่2พ้นความรับผิด ส่วนความเสียหายที่จำเลยที่1ปลอมลายมือชื่อจำเลยที่2ลงในเช็คแล้วนำไปเบิกเงินจากธนาคารนั้นความเสียหายของโจทก์ทั้งสองย่อมเกิดขึ้นแล้วส่วนเงินจำนวนดังกล่าวแม้จะมีคนต้องรับผิดหลายคนโจทก์ทั้งสองจะเลือกฟ้องให้บางคนรับผิดก็เป็นสิทธิที่จะทำได้เมื่อจำเลยที่2ประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองก็ไม่ทำให้จำเลยที่2พ้นความรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจร: พยานหลักฐานไม่เพียงพอต้องฟังว่าจำเลยทราบว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการลักทรัพย์
คำเบิกความของพยานโจทก์ไม่สามารถยืนยันว่าจำเลยได้รับไว้ซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักมาอย่างไรและจำเลยทราบหรือไม่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการลักทรัพย์พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่สามารถฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้า: ผู้มีสิทธิก่อนย่อมฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนของผู้อื่นได้ แม้ยังมิได้จดทะเบียน
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา16วรรคสองเพียงแต่บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่รับจดทะเบียนไปให้ทราบตามวรรคหนึ่งของมาตรา16มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าตามมาตรา19ทวิได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งเหตุที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนนั้นโดยมิได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นใช้สิทธิดำเนินคดีทางศาลโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาทอันจดทะเบียนไว้ในประเทศฝรั่งเศสได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทแต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าไม่รับจดทะเบียนให้โดยอ้างว่าเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของส.ซึ่งนายทะเบียนได้จดทะเบียนไว้ก่อนแล้วต่อมาส. ได้โอนให้จำเลยโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าและขอให้คณะกรรมการรอการวินิจฉัยไว้ก่อนซึ่งคณะกรรมการได้มีคำสั่งให้รอการวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ไว้เพื่อรอคำพิพากษาของศาลการที่โจทก์คดีขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโดยอ้างโจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยผู้ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วโดยโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาทได้ใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าของโจทก์แพร่หลายมาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้วทั้งได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทของโจทก์ไว้ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศต่างๆไม่น้อยกว่า90ประเทศจึงเป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยผู้ที่จดทะเบียนไว้แล้วขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทของจำเลยอันเป็นการใช้สิทธิตามมาตรา41(1)โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องได้ โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเป็นการที่โจทก์ผู้ขอจดทะเบียนได้ใช้สิทธิตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา16วรรคสองอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามิใช่เป็นกรณีที่โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนตามมาตรา22วรรคสี่(1)อันเป็นกรณีที่มีผู้คัดค้านการขอจดทะเบียนแล้วนายทะเบียนได้ให้คำวินิจฉัยกรณีนี้ไม่มีการคัดค้านการขอจดทะเบียนของโจทก์แต่เป็นเรื่องที่นายทะเบียนไม่รับจดทะเบียนให้โจทก์เองเพราะเห็นว่าเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ขอจดทะเบียนนั้นเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วกรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา22และไม่ตัดสิทธิของโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงจะดำเนินคดีเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของตนเมื่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ารับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอจดทะเบียนของส. และต่อมาส. โอนสิทธิเครื่องหมายการค้าให้จำเลยโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำขอจดทะเบียนและทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ตามมาตรา41(1)สิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีมาสู่ศาลโดยฟ้องจำเลยต่อศาลเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าพิพาทจึงไม่สิ้นไป โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโดยอ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลยเพราะได้ใช้มาก่อนซึ่งเป็นการฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา41(1)โจทก์หาได้ฟ้องคดีเพื่อป้องกันหรือเรียกค่าเสียหายในการล่วงสิทธิเครื่องหมายการค้าโจทก์ตามมาตรา29ไม่โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องคดีได้แม้ยังไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของตนในประเทศไทยก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายในปริมาณมากและการลงโทษที่เหมาะสม
พยานโจทก์ทั้งสามปากต่างเป็นเจ้าพนักงานซึ่งไม่ปรากฏว่าเคยรู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยทั้งคำเบิกความก็สอดคล้องและเชื่อมโยงกันมีน้ำหนักฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมาตรา15วรรคสองบัญญัติว่าการมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท1คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่20กรัมขึ้นไปถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเมื่อจำเลยมีเฮโรอีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท1ไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้1,302กรัมจึงต้องถือว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยมียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เป็นจำนวนมากถึง1,302กรัมการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนด โทษประหารชีวิตและ ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา78ประกอบมาตรา52คง จำคุกจำเลยตลอดชีวิตนั้นจึงเป็นการใช้ ดุลพินิจในการลงโทษที่เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81-82/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เครื่องหมายการค้าที่คล้ายคลึงกันทำให้เกิดความเข้าใจผิดและละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้า
แม้รูปลักษณะการวางตัวอักษรโรมันของเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยจะแตกต่างกันโดยเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นตัวอักษรโรมันSPSในแนวนอนส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นตัวอักษรโรมันSPSซ้อนกันในแนวตั้งก็ตามแต่การอ่านออกเสียงเครื่องหมายการค้าทั้งสองก็อ่านว่า"เอสพีเอส"เช่นเดียวกันทั้งยังใช้กับสินค้าจำพวกกางเกงในเหมือนกันด้วยสาธารณชนจึงอาจหลงผิดได้โดยง่ายว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์เมื่อจำเลยทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าโจทก์ได้ใช้ตัวอักษรโรมันSPSอ่านว่า"เอสพีเอส"ในแนวนอนเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์สำหรับสินค้ากางเกงในการที่จำเลยนำตัวอักษรโรมันSPSอ่านว่า"เอสพีเอส"ซ้อนกันในแนวตั้งไปจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของจำเลยสำหรับสินค้าจำพวกเครื่องนุ่งห่มและแต่งกายซึ่งรวมถึงสินค้ากางเกงในจึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยมุ่งประสงค์จะแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยแอบอิงเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยไม่สุจริตเพื่อให้ผู้ซื้อซึ่งจำคำเรียกขานของเครื่องหมายการค้าของโจทก์เข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์แม้โจทก์ยังมิได้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในขณะที่จำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโจทก์ก็มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าตัวอักษรโรมันSPSอ่านว่า"เอสพีเอส"ดีกว่าจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 70/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน – คดีข่มขืนกระทำชำเรา – ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ผู้เสียหายเป็น ประจักษ์พยานเพียงปากเดียวและได้เบิกความว่าได้เล่าเรื่องที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายให้นาง อ.ร.และนาง อ.น. ฟังแตกต่างจากนาง อ.ร. และนาง อ.น. ที่เบิกความว่าผู้เสียหายมิได้เล่าเรื่องเช่นนั้นทำให้น่าสงสัยว่าผู้เสียหายถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราจริงหรือไม่พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังมี ข้อน่าสงสัยต้อง ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7494/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารประกอบคำให้การ, ค่าธรรมเนียม, และการต่อสู้คดี: ศาลรับฟังได้หากจำเลยไม่ได้จงใจหลีกเลี่ยง
เอกสารท้ายคำให้การที่จำเลยอ้างถึงในคำให้การถือเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การจึงไม่ต้องระบุอ้างเอกสารดังกล่าวในบัญชีระบุพยานอีก ศาลรับฟังได้
การที่จำเลยไม่เสียค่าอ้างเอกสารนั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่เสียและศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งเรียกเก็บ จึงมิใช่ความบกพร่องของจำเลย ไม่ควรยกเป็นเหตุไม่รับฟังเอกสาร
จำเลยให้การต่อสู้ใจความว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามฟ้อง ไม่เคยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ โจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่า เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิงและอ้างที่มาแห่งสัญญากู้เงินตามฟ้องว่ามีความเป็นมาอย่างไร เป็นคำให้การที่ชัดแจ้งไม่ขัดกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจึงมิใช่การวินิจฉัยนอกประเด็น
การที่จำเลยไม่เสียค่าอ้างเอกสารนั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่เสียและศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งเรียกเก็บ จึงมิใช่ความบกพร่องของจำเลย ไม่ควรยกเป็นเหตุไม่รับฟังเอกสาร
จำเลยให้การต่อสู้ใจความว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามฟ้อง ไม่เคยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ โจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่า เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิงและอ้างที่มาแห่งสัญญากู้เงินตามฟ้องว่ามีความเป็นมาอย่างไร เป็นคำให้การที่ชัดแจ้งไม่ขัดกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจึงมิใช่การวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7494/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารท้ายคำให้การเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การ ศาลรับฟังได้ แม้ไม่ได้ระบุในบัญชีระบุพยาน การวินิจฉัยประเด็นสัญญากู้เงินไม่นอกประเด็น
เอกสารท้ายคำให้การที่จำเลยอ้างถึงในคำให้การถือเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การจึงไม่ต้องระบุอ้างเอกสารดังกล่าวในบัญชีระบุพยานอีกศาลรับฟังได้ การที่จำเลยไม่เสียค่าอ้างเอกสารนั้นไม่ปรากฎว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่เสียและศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งเรียกเก็บจึงมิใช่ความบกพร่องของจำเลยไม่ควรยกเป็นเหตุไม่รับฟังเอกสาร จำเลยให้การต่อสู้ใจความว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามฟ้องไม่เคยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์โจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าเป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิงและอ้างที่มาแห่งสัญญากู้เงินตามฟ้องว่ามีความเป็นมาอย่างไรเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งไม่ขัดกันที่ศาลอุทธรณ์ภาค2ไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจึงมิใช่การวินิจฉัยนอกประเด็น