คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อัครวิทย์ สุมาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 706 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5474/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญ และประเด็นอำนาจศาลในการอนุญาตให้เป็นคู่ความแทน
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว คดีจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งคำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียกบุคคลอื่นเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะ การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามคำร้องจึงไม่ชอบ แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคำร้องของจำเลยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์สั่ง โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ถูกจำเลยหลอกให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือทำนิติกรรมแตกต่างไปจากเจตนาอันแท้จริงของโจทก์ เป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมเป็นโมฆะ จำเลยให้การว่าโจทก์มิได้สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ จึงมีความหมายแปลได้ว่า จำเลยหลอกให้โจทก์สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรมที่โจทก์จะทำและทำให้โจทก์หลงเชื่อแสดงเจตนาทำนิติกรรมกับจำเลยโดยสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรมอันเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามฟ้องหรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่านิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามประเด็นโจทก์ฎีกาขอให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดี ดังนี้ เมื่อโจทก์มิได้ยกข้อพิพาทในเนื้อหาของคดีขึ้นมาในคำฟ้องฎีกา และมิได้ขอให้พิพากษาตามคำขอของโจทก์ตามที่ฟ้องมาศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อพิพาทในส่วนที่นอกจากปรากฏในคำฟ้องฎีกาได้ เมื่อโจทก์ฎีกาเฉพาะเพียงในข้อที่ขอให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดีเท่านั้น จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 200 บาท ให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5474/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรม, อำนาจศาล, การพิจารณาคดีนอกประเด็น, และการเข้าเป็นคู่ความแทน
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว คดี จึง อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งคำร้องของ จำเลย ที่ขอให้เรียกบุคคลอื่นมาเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะ ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้บุคคลอื่น เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะ การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต ตามคำร้องจึงไม่ชอบ แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งคำร้องของ จำเลยไปเสียทีเดียว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์สั่ง โจทก์ฟังว่าโจทก์ถูกจำเลยหลอกให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือทำนิติกรรมแตกต่างไปจากเจตนาอันแท้จริงของโจทก์เป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญ ของ นิติกรรมเป็นโมฆะ จำเลยให้การว่าโจทก์มิได้สำคัญผิด ในลักษณะของนิติกรรมการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยฉ้อฉลโจทก์หรือไม่จึงมีความหมายแปลได้ว่าจำเลยหลอกให้โจทก์สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรมที่โจทก์จะทำและให้โจทก์หลงเชื่อแสดงเจตนาทำนิติกรรมกับจำเลยโดยสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรมอันเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาขอให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และ ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดี โดยมิได้ยกข้อพิพาท ในเนื้อหาของคดีขึ้นมาในคำฟ้องฎีกา และมิได้ขอให้พิพากษา ตามคำขอของโจทก์ตามที่ฟ้องมา ศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจ พิจารณาข้อพิพาทในส่วนที่นอกจากปรากฏในคำฟ้องฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5344/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนด 10 ปีบังคับคดี: เจ้าหนี้ต้องดำเนินการภายในกำหนด หากพ้นกำหนดจะบังคับคดีไม่ได้
การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ครบถ้วนภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ดังนั้นหากเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษามาแล้วขายทอดตลาดได้เงินไม่คุ้มหนี้และโจทก์ประสงค์จะบังคับคดีอีก โจทก์จะแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้เมื่อเกินกำหนด 10 ปีแล้วไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5344/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดี: กำหนดเวลา 10 ปี และการยึดทรัพย์ซ้ำ
การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้น เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ครบถ้วนภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 แล้วหากขายทอดตลาดทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาแล้วได้เงินไม่คุ้มหนี้และโจทก์ประสงค์จะบังคับคดีอีก โจทก์ก็จะแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งหาได้ไม่ มิฉะนั้นจะมีผลให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาถูกบังคับคดีได้ไม่สิ้นสุดซึ่งมิใช่เจตนารมณ์ของกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5006/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมในคดีคำขอพิจารณาใหม่
ปัญหาว่าโจทก์จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่เป็นประเด็นในคดีที่มีคำขอให้พิจารณาใหม่ซึ่งถือว่าเป็นคำฟ้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสาม ได้ให้อำนาจแก่ศาลที่จะเรียกพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติมได้ หากศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานนั้นมาสืบเพิ่มเติม การที่ศาลชั้นต้นเรียกสมุดนัดความของเจ้าหน้าที่ศาลและเรียกเจ้าหน้าที่ศาลมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น จึงเป็นการนำพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติมโดยชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4941/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ไม่เป็นทายาท: การร้องขอถอนผู้จัดการมรดก
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้คัดค้านไม่ใช่บุตรผู้ตายผู้คัดค้านจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก ย่อมไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4903/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพและพยานหลักฐานแวดล้อมใช้พิสูจน์ความผิดฐานปล้นทรัพย์ได้ หากปรากฏข้อเท็จจริงสนับสนุนความสมัครใจและเป็นความจริง
การที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนกับนำชี้สถานที่ต่าง ๆ ที่ระบุในคำให้การโดยความสมัครใจ ทั้งมีพยานพฤติเหตุแวดล้อม กรณีว่า จำเลยที่ 3นำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นยึดเหรียญหลวงปู่แหวนของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกปล้นไปคืนได้จากบ้านจำเลยที่ 3 เช่นนี้ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้อง แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย คงมีแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีแต่คำให้การรับสารภาพดังกล่าวของจำเลยที่ 3 ก็อาจใช้ยันจำเลยที่3 ในชั้นพิจารณาได้ หากมีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจและตามความสัตย์จริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4903/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพและพยานหลักฐานแวดล้อมในการพิสูจน์ความผิดฐานปล้นทรัพย์
การที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนกับนำชี้สถานที่ต่าง ๆ ที่ระบุในคำให้การโดยความสมัครใจ ทั้งมีพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีว่า จำเลยที่ 3 นำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นยึดเหรียญหลวงปู่แหวนของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกปล้นไปคืนได้จากบ้านจำเลยที่ 3 เช่นนี้ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้อง
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 3ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย คงมีแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี แต่คำให้การรับสารภาพดังกล่าวของจำเลยที่ 3 ก็อาจใช้ยันจำเลยที่ 3 ในชั้นพิจารณาได้ หากมีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจและตามความสัตย์จริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4781/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความ: การได้สิทธิใช้ทางผ่านในที่ดินของผู้อื่นเมื่อใช้ต่อเนื่องเกิน 10 ปี โดยเจ้าของที่ดินไม่โต้แย้ง
ที่ดินของโจทก์กับจำเลยมีเขตติดต่อกันโดยมีลำรางสาธารณะกั้นและโจทก์ได้สร้างสะพานข้ามลำรางสาธารณะเพื่อใช้ข้ามจากที่ดินของโจทก์ไปยังที่ดินของจำเลยและเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์มาเป็นเวลานานเกินกว่าสิบปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ โจทก์จึงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายหรือค่าทดแทนให้แก่จำเลยแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4665/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปล้นทรัพย์: หลักฐานจากคำรับสารภาพประกอบพยานหลักฐานอื่น, ยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำผิดต้องริบ
ถึงแม้โจทก์จะไม่มีพยานเห็นตัวคนร้ายที่เป็นคนยิง ไม่ได้อาวุธปืนจากจำเลย ไม่พบปลอกกระสุนและร่องรอยการยิงปืนของคนร้ายในที่เกิดเหตุ โจทก์ก็มี ป. ผู้เสียหาย กับ ข. ผู้ใหญ่บ้านที่เกิดเหตุเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า คนร้ายยิงปืนขึ้นก่อนผู้เสียหายจึงได้ยิงปืนสวนไป กับมีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย-ทั้งสาม ซึ่งจำเลยทั้งสามให้การไว้ใจความตรงกันในเบื้องต้นว่า มีเสียงปืนดังขึ้นที่รถยนต์ของจำเลยก่อน จากนั้นมีเสียงปืนทางอื่นยิงมาที่รถยนต์ของจำเลย ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าใจว่า น. ผู้ตาย ซึ่งเป็นพวกของจำเลยทั้งสามเป็นคนยิงปืน ส่วนจำเลยที่ 3 เห็นและรู้ว่า น. มีปืนมาก่อนเกิดเหตุ ที่จำเลยทั้งสามอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายบังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้รับสารภาพก็ดี ให้จำเลยที่ 3 ลงชื่อในบันทึกคำให้การโดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟังก็ดี จำเลยทั้งสามมีแต่ตนเองเบิกความลอย ๆ ภายหลัง เมื่อโจทก์มีพนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสามชั้นสอบสวน จำเลยทั้งสามมิได้ถามค้านถึงความข้อนี้ไว้ เชื่อว่าชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจและตามความสัตย์จริง คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามจึงเป็นหลักฐานประกอบถ้อยคำของ ป. และ ข. พยานโจทก์ ฟังได้ว่าขณะเมื่อจะยกเครื่องยนต์รถไถนาของผู้เสียหายขึ้นบรรทุกรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เพื่อจะขนเอาไป ซึ่งเป็นเวลาที่การลักทรัพย์ยังไม่ขาดตอนลงนั้น จำเลยทั้งสามกับพวกได้กระทำการประทุษร้ายขู่เข็ญผู้เสียหายกับพวกด้วยการยิงปืนขึ้นหนึ่งนัด การกระทำของจำเลยทั้งสามกับพวกจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
รถยนต์กระบะของกลางเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการปล้นทรัพย์เป็นทรัพย์ที่พึงต้องริบ
of 71