คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อัครวิทย์ สุมาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 706 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4665/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปล้นทรัพย์ด้วยการขู่เข็ญด้วยอาวุธปืน การรับคำสารภาพ และการริบรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิด
ถึงแม้โจทก์จะไม่มีพยานเห็นตัวคนร้ายที่เป็นคนยิง ไม่ได้ อาวุธปืนจากจำเลย ไม่พบปลอกกระสุนและร่องรอยการยิงปืนของคนร้ายในที่ เกิดเหตุ โจทก์ก็มี ป. ผู้เสียหาย กับ ข.ผู้ใหญ่บ้าน ที่เกิดเหตุเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า คนร้ายยิงปืนขึ้นก่อน ผู้เสียหายจึงได้ยิงปืนสวนไป กับมีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ทั้งสาม ซึ่งจำเลยทั้งสามให้การไว้ใจความตรงกันในเบื้องต้นว่า มีเสียงปืนดังขึ้นที่รถยนต์ของจำเลยก่อน จากนั้นมีเสียงปืนทางอื่น ยิงมาที่รถยนต์ของจำเลย ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าใจว่า น. ผู้ตาย ซึ่งเป็นพวกของจำเลยทั้งสามเป็นคนยิงปืน ส่วนจำเลยที่ 3 เห็นและรู้ว่า น. มีปืนมาก่อนเกิดเหตุ ที่จำเลยทั้งสามอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายบังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้รับสารภาพก็ดี ให้จำเลยที่ 3 ลงชื่อในบันทึกคำให้การโดยไม่ได้อ่านข้อความ ให้ฟังก็ดี จำเลยทั้งสามมีแต่ตนเองเบิกความลอย ๆ ภายหลัง เมื่อโจทก์ มีพนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสาม ชั้นสอบสวน จำเลยทั้งสามมิได้ถามค้านถึงความข้อนี้ไว้ เชื่อว่า ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ และตามสัตย์จริง คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามจึงเป็น หลักฐานประกอบถ้อยคำของ ป. และข. พยานโจทก์ ฟังได้ว่าขณะเมื่อจะยกเครื่องยนต์รถไถนาของผู้เสียหายขึ้นบรรทุกรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เพื่อจะขนเอาไป ซึ่งเป็นเวลาที่การลักทรัพย์ยังไม่ขาดตอนลงนั้น จำเลยทั้งสามกับพวกได้กระทำการประทุษร้ายขู่เข็ญผู้เสียหายกับพวก ด้วยการยิงปืนขึ้นหนึ่งนัด การกระทำของจำเลยทั้งสามกับพวก จึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ รถยนต์กระบะของกลางเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการปล้นทรัพย์เป็นทรัพย์ที่พึงต้องริบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4620/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีหลังตัวการเสียชีวิต และข้อจำกัดในการยกข้อกฎหมายใหม่ในชั้นฎีกา
แม้โจทก์ที่ 13 ถึงแก่กรรมก่อนฟ้องเพียง 9 วัน ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 13 ก็ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนเพราะสัญญาตั้งตัวแทนย่อมระงับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 826 วรรคสองและไม่ปรากฏว่าการฟ้องคดีนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ตัวแทนต้องจัดการเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์ตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 13จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาว่าที่พิพาทไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพราะไม่มีการออกพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 จึงไม่ใช่ข้อที่ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งปัญหาว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์กันในทางพิจารณาไม่ใช่เรื่องอำนาจฟ้อง และไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4461/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การใช้อาวุธปืนเพื่อหยุดยั้งการทำร้ายด้วยมีด
โจทก์ร่วมเป็นฝ่ายก่อเหตุเข้ามาตบจำเลยในสวนยางพาราของจำเลยแล้วใช้มีดแทงจำเลย จำเลยแย่งมีดจากโจทก์ร่วม แต่แย่งไม่ได้จึงใช้อาวุธปืนซึ่งจำเลยมีติดตัวยิงโจทก์ร่วม 1 นัด ถูกที่บริเวณขาขวาของโจทก์ร่วม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงถูกบริเวณขาขวาของโจทก์ร่วมเพียง 1 นัดในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังใช้มีดแทงจำเลยเพื่อไม่ให้โจทก์ร่วมแทงจำเลยต่อไปนั้น เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4318/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิทายาทในทรัพย์มรดกเมื่อทายาทรุ่นก่อนถึงแก่ความตายก่อนแบ่งมรดก ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิเป็นผู้จัดการมรดก
บิดาผู้ร้องถึงแก่ความตายหลังเจ้ามรดก เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการแบ่งปันทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกขณะที่บิดาผู้ร้องมีชีวิตอยู่แต่อย่างใด ทรัพย์มรดกในส่วนที่ตกได้แก่บิดาผู้ร้องย่อมตกแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งด้วย ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกอันจะขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4318/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการมรดกเมื่อทายาทก่อนถึงแก่กรรมและไม่มีพินัยกรรม: สิทธิของผู้ร้องในฐานะทายาทลำดับหลัง
ผู้ตายมีบุตร 3 คน คือบิดาผู้ร้อง ผู้คัดค้าน และ ส.ผู้ตายถึงแก่ความตาย ก่อนบิดาผู้ร้องโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้บิดาผู้ร้องมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย ต่อมาบิดาผู้ร้องถึงแก่ความตายโดยยังไม่มีการแบ่งปันมรดก ทรัพย์มรดกของผู้ตายในส่วนที่ตกได้แก่บิดาผู้ร้อง ย่อมเป็นทรัพย์มรดกของบิดาผู้ร้องและตกได้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่ง ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย เมื่อผู้ร้องมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1718 และมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดกของผู้ตาย จึงสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4311/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีแบ่งที่ดินต้องเป็นไปตามขั้นตอน หากประมูลราคากันเองไม่ได้จึงขายทอดตลาด ยึดทรัพย์อื่นไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์และจำเลยแบ่งที่ดินพิพาทด้วยการประมูลราคากันเอง หากตกลงประมูลราคากันเองไม่ได้ให้ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวแล้วเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน การตกลงประมูลราคากันเองได้นั้น หมายความว่าโจทก์และจำเลยประมูลราคาที่ดินกันแล้วผู้ประมูลได้ ได้ปฏิบัติตามที่ประมูลได้นั้นจนเสร็จสิ้นหากผู้ประมูลได้ไม่ปฏิบัติตามที่ได้ประมูลได้นั้นจนเสร็จก็ต้องถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยตกลงประมูลราคากันเองไม่ได้ดังนั้นเมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ประมูลได้ไม่นำเงินมาชำระตามที่ประมูลได้โจทก์จึงต้องบังคับคดีโดยการนำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดแล้วเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วนต่อไป โจทก์ไม่มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินอื่นของจำเลยเพื่อบังคับคดีนี้แต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4311/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาแบ่งที่ดิน: กรณีผู้ประมูลได้ไม่ชำระเงิน ยึดทรัพย์อื่นไม่ได้
การที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์และจำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 3237 ด้วยการประมูลกันเอง หากตกลงราคาไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินแบ่งกันตามส่วนนั้น เมื่อจำเลยผู้ประมูลได้ไม่นำเงินมาชำระตามที่ประมูลได้ ต้องถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยประมูลราคากันเองไม่ได้ จะต้องนำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน โจทก์ไม่มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินอื่นของจำเลยเพื่อบังคับคดีแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4162/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการฟ้องเท็จ: จำเลยต้องรู้ว่าข้อความที่ฟ้องเป็นเท็จ การเข้าใจผิดเรื่องกรรมสิทธิ์ทำให้ขาดเจตนา
ความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175นั้น นอกจากผู้กระทำจะต้องเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่าได้กระทำความผิดอาญาแล้วผู้กระทำจะต้องรู้ว่าความที่นำมาฟ้องนั้นเป็นเท็จ จำเลยทั้งสองร่วมกันฟ้องโจทก์ว่า โจทก์กระทำความผิดอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ใช้ชายหลายคนให้ทุบทำลายผนังตึกกำแพงด้านหลัง อาคาร ของจำเลยทั้งสองเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเข้าใจว่ากำแพงพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่รู้ว่าความที่นำมาฟ้องโจทก์นั้นเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงขาดเจตนาที่จะทำให้เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4162/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในความผิดฟ้องเท็จ: จำเลยต้องรู้ว่าข้อความที่ฟ้องเท็จ
ความผิดฐานฟ้องเท็จตาม ป.อ. มาตรา 175 นั้น นอกจากผู้กระทำจะต้องเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่าได้กระทำความผิดอาญาแล้วผู้กระทำจะต้องรู้ว่าความที่นำมาฟ้องนั้นเป็นเท็จ จำเลยทั้งสองร่วมกันฟ้องโจทก์ว่าโจทก์กระทำความผิดอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ โดยบรรยายฟ้องว่าโจทก์ใช้ขายหลายคนให้ทุบทำลายผนังตึกกำแพงด้านหลังอาคารของจำเลยทั้งสอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเข้าใจว่ากำแพงพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่รู้ว่าความที่นำมาฟ้องโจทก์นั้นเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงขาดเจตนาที่จะทำให้เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3979/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างก่อสร้าง: การส่งมอบงาน, การแก้ไขงานเพิ่มเติม, และสิทธิในการเรียกค่าจ้าง
โจทก์ส่งมอบงานงวดสุดท้ายให้แก่จำเลยแล้วต่อมาจำเลยแจ้งให้โจทก์ก่อสร้างท่อระบายน้ำแก้ไขงานที่ยังไม่เรียบร้อยอีก 9 รายการ โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 30 ตุลาคม 2529 แจ้งจำเลยว่าแก้ไขงานเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่จำเลยแจ้งว่างานรายการที่ 5คือบ่อพักบางจุดไม่มีขอบรัดฝาบ่อพัก และฝาบ่อพักไม่วางบนขอบบ่อพัก ให้โจทก์แก้ไขโดยไม่โต้แย้งงานอีก 8 รายการ แสดงว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์แก้ไขงานอื่นตามที่จำเลยแจ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับงานรายการที่ 5 นั้น นับแต่เริ่มทำการก่อสร้างปรากฏว่าแนวของท่อระบายน้ำไปติดกับท่อเมนประปาและบ้านเรือนของราษฎร เป็นอุปสรรคไม่สามารถก่อสร้างตามแบบแปลนได้ ช่างควบคุมงานก่อสร้างของจำเลยทำบันทึกลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2529ขออนุมัติจำเลยเปลี่ยนแปลงแนวท่อ จำเลยอนุมัติในวันเดียวกันนั้น โจทก์ได้ก่อสร้างท่อระบายน้ำทางเท้าตามแบบแปลนที่แก้ไขใหม่ โดยย้ายแนวท่อตามที่ช่างควบคุมงานก่อสร้างของจำเลยกำหนด ถือได้ว่าจำเลยอนุมัติให้แก้ไขรายการก่อสร้างให้ไม่ต้องมีขอบรัดฝา บ่อพักสำหรับบ่อพักที่เป็นปัญหาตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2529 แล้ว ดังนี้ย่อมถือว่าโจทก์ได้ส่งมอบงานงวดสุดท้าย ให้จำเลยแล้วเสร็จบริบูรณ์ในวันที่ 30 ตุลาคม 2529 จำเลยจึงมีสิทธิปรับโจทก์เป็นรายวันนับแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2529 อันเป็นวันหลังวันที่โจทก์จะต้องทำงาน แล้วเสร็จตามสัญญาจนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2529 รวมเป็นเวลา 18 วันเท่านั้น ตามสัญญาจ้างมีข้อความว่า จำเลยตกลงจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างท่อระบายน้ำทางเท้าคันหินรางตื้นถนนประชาสัมพันธ์ฝั่งด้านทิศใต้จากถนนอุทัยรามฤทธิ์ความยาวไม่น้อยกว่า 555 เมตร เป็นราคารวมทั้งสิ้น1,026,000 บาท เป็นการว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างโดยกำหนดจุดที่จะก่อสร้างไว้โดยชัดเจน และกำหนดราคาจ้างเหมาทั้งสิ้น โดยกำหนดความยาวของท่อระบายน้ำทางเท้าไม่น้อยกว่า 555 เมตรเมื่อโจทก์ก่อสร้างท่อระบายน้ำทางเท้ายาวเกินกว่า555 เมตร ออกไปอีก 9.20 เมตร แต่ส่วนที่ก่อสร้างเพิ่มเติมยังอยู่ในช่วงถนนตามสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียก ค่าก่อสร้างเพิ่มเติม โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าจ้างงวดสุดท้ายแก่โจทก์พร้อมค่าเสียหายในอัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินค่าจ้างนับแต่วันแก้ไข งานเรียบร้อยถึงวันฟ้อง และค่าเสียหายในอัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดังนี้โจทก์ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาล อนาคต
of 71