พบผลลัพธ์ทั้งหมด 706 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2537/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องรื้อถอนอาคารดัดแปลงผิดกฎหมาย: เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจฟ้อง แม้จะไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยตรง
จำเลยดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและอาคารที่ดัดแปลงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม มาตรา 4 พระราชบัญญัติ ควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 ได้มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ดัดแปลงโดยไม่รับอนุญาตภายใน 30 วัน จำเลยรับแจ้งคำสั่งแล้วไม่ปฏิบัติตามผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนอาคารที่ดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ ตามมาตรา 42 วรรคสาม เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2528 จำเลยได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารโดยมีเงื่อนไขให้จำเลยรื้อถอนอาคารเดิมออก มิฉะนั้นจะถือว่าปลูกสร้างผิดจากแบบแปลงแผนผังที่ได้รับอนุญาต ปรากฏว่าจำเลยมิได้รื้อถอนผนังกำแพงด้านข้างและต้นเสา 2 ด้านของอาคารเดิม กลับก่อสร้างอาคารชั้นเดียวเชื่อมต่อจากอาคาร 4 ชั้น ไปด้านหน้าด้านถนนและก่อสร้างอาคารเชื่อมต่อจากอาคาร 4 ชั้น ปกคลุมแนวร่นของอาคารไว้ทั้งหมด โดยก่อสร้างขึ้นหลังจาก พระราชบัญญัติ ควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มีผลใช้บังคับแล้วไม่ใช่ก่อสร้างอาคารพิพาทภายในแนวเขตที่ดินและตามแนวอาคารเดิมซึ่งได้ก่อสร้างขึ้นก่อนพระราชบัญญัติ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ใช้บังคับ จึงเป็นการดัดแปลงที่ผิดไปจากแบบแปลนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยต้องรื้อถอน การฟ้องขอให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 โจทก์ฟ้องให้รื้อถอนได้ตราบเท่าที่อาคารซึ่งฝ่าฝืนกฎหมายยังคงอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2435/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอม-พินัยกรรม-การรับมรดก: สิทธิในที่ดินเมื่อคู่สมรสหย่าและมีพินัยกรรมยกมรดก
ข้อตกลงต่อท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์ที่ 1 กับ ฟ.ที่ตกลงยกที่ดินพร้อมบ้านให้แก่โจทก์ที่ 2 ผู้เป็นบุตรนั้น เป็นบันทึกข้อตกลงที่เกี่ยวกับสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 1 กับ ฟ.และทั้งสองฝ่ายประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสินสมรส ซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นต่อไปภายหน้าให้เสร็จไปด้วยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ตามมาตรา 374 โจทก์ที่ 1 ในฐานะคู่สัญญามีสิทธิเรียกให้ ฟ.ลูกหนี้ชำระหนี้ด้วยการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามสัญญาดังกล่าวแก่โจทก์ที่ 2 ได้ ส่วนโจทก์ที่ 2 ในฐานะบุคคลภายนอกหากแสดงเจตนาแก่ ฟ.ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น โจทก์ที่ 2ก็ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ ฟ.ชำระหนี้โดยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามสัญญานั้นให้แก่ตนได้โดยตรง ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 1 กับ ฟ.เมื่อหย่ากัน แต่ละฝ่ายย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวคนละครึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 แต่โจทก์ที่ 2 ไม่ได้แสดงเจตนาแก่ ฟ.ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาในส่วนที่ดินพิพาทซึ่ง ฟ.มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งก่อนที่ฟ.จะตาย กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งจึงยังเป็นของ ฟ.อยู่ฟ.ย่อมแสดงเจตนาโดยพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับที่ดินนั้นในส่วนของตนเพื่อให้มีผลบังคับตามกฎหมายเมื่อตนตายได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 ฟ.ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินพิพาทให้จำเลยจำเลยย่อมมีสิทธิได้รับที่ดินดังกล่าวตามส่วนที่ ฟ.มีกรรมสิทธิ์อยู่ในฐานะเป็นทายาทผู้รับพินัยกรรม เมื่อ ฟ.ตาย อย่างไรก็ตามกองมรดกของผู้ตายตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600 นอกจากจะได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายแล้ว ยังรวมถึงสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ด้วย แม้จำเลยจะมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายก็ตามแต่หน้าที่และความรับผิดที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นมรดกมีผลผูกพันให้จำเลยต้องรับผิดด้วย ดังนั้น หน้าที่และความรับผิดที่ ฟ. มีต่อโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับที่ดินพิพาทตามบันทึกข้อตกลงในทะเบียนการหย่าซึ่งเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกจึงตกทอดมายังจำเลย และจำเลยย่อมตกอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกดังกล่าวด้วยการที่โจทก์ทั้งสองไปคัดค้านในขณะที่จำเลยทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองไปแสดงและขอรับมรดกต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า ฟ.ไม่มีสิทธินำเอาที่ดินพิพาทไปทำพินัยกรรมยกให้จำเลย นั้น ถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกนั้นแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ที่ 1 กับ ฟ.ได้ทำกันไว้ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2519 อันเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องตามสัญญาดังกล่าวได้ โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 จึงเกินกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164(เดิม) แล้ว คดีของโจทก์ที่ 1 จึงขาดอายุความ แต่คดีของโจทก์ที่ 2 ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2ไปคัดค้านการขอรับมรดกที่ดินของจำเลยเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2530และโจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2531 ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164(เดิม) คดีของโจทก์ที่ 2จึงยังไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอรับมรดกที่ดินครึ่งหนึ่งของที่ดินพิพาทและไม่มีสิทธิที่จะยึดถือโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้ต่อไป จำเลยต้องส่งมอบโฉนดที่ดินนั้นให้แก่โจทก์ที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2435/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ผู้อื่นโดยชอบด้วยกฎหมาย ทายาทผู้รับพินัยกรรมมีสิทธิรับมรดก แต่ต้องรับผิดชอบหน้าที่และความรับผิดของผู้ตาย
การที่โจทก์ที่ 1 กับ ฟ. หย่ากันและทำบันทึกข้อตกลงต่อท้ายทะเบียนหย่าว่ายกที่ดินพิพาทพร้อมบ้านให้แก่โจทก์ที่ 2 นั้น บันทึกดังกล่าวเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ 1 กับ ฟ.ซึ่งทั้งสองฝ่ายประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสินสมรสที่มีอยู่หรือจะมีขึ้นต่อไปในภายหน้าให้เสร็จไปด้วยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ตามมาตรา 374 โจทก์ที่ 1 ในฐานะคู่สัญญามีสิทธิเรียกให้ฟ. โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2 ได้ และโจทก์ที่ 2ก็ย่อมมีสิทธิเรียกให้ ฟ.โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่ตนได้โดยตรงเช่นกัน เมื่อ ฟ.ตายหน้าที่และความรับผิดที่ฟ. มีต่อโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับที่ดินพิพาทย่อมตกทอดมายังจำเลยในฐานะทายาทของ ฟ.จำเลยจึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกดังกล่าว โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้แต่โจทก์ที่ 1 ฟ้องคดีเกินกำหนด 10 ปี นับแต่วันทำสัญญา คดีของโจทก์ที่ 1 จึงขาดอายุความ ส่วนโจทก์ที่ 2 ได้คัดค้านการขอรับมรดกที่ดินของจำเลยเมื่อปี 2530 และฟ้องคดีนี้เมื่อปี 2531ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้คดีของโจทก์ที่ 2 จึงยังไม่ขาดอายุความจำเลยต้องส่งมอบโฉนดที่ดินนั้นให้แก่โจทก์ที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2393/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่เกิน 10 ปีนับจากวันพิพากษา แม้ฝ่ายหนึ่งเพิกเฉย
แม้จะเป็นกรณีการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งโจทก์ยอมให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ก็ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้มีการบังคับคดีเกินกว่าสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2393/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความและการครอบครองปรปักษ์ หากเกิน 10 ปีนับจากคำพิพากษา สิทธิบังคับคดีเป็นอันสูญเสีย
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อวันที่16 ธันวาคม 2531 ความว่า โจทก์ยอมให้ที่ดินที่เป็นเกาะมีบ้านจำเลยปลูกอยู่เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ในโฉนดเลขที่ 1924 เป็นของจำเลย และจะไปขอแบ่งแยกให้ ทั้งสองฝ่ายจะไปยื่นขอแบ่งแยกภายในเดือนมกราคม 2514 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้บังคับคดีเมื่อวันที่17 ตุลาคม 2533 เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา จึงหมดสิทธิบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271แม้กรณีเป็นดังที่จำเลยอ้างว่าเป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งโจทก์เป็นฝ่ายเพิกเฉยไม่ไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินแล้วกลับมาฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีใหม่ และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์แล้วก็ตาม ก็หามีบทกฎหมายใดบัญญัติให้มีการขอบังคับคดีเกินกว่าสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2393/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เกิน 10 ปี หมดสิทธิ
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2531 ความว่า โจทก์ยอมให้ที่ดินที่เป็นเกาะมีบ้านจำเลยปลูกอยู่เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ในโฉนดเลขที่ 1924 เป็นของจำเลย และจะไปขอแบ่งแยกให้ ทั้งสองฝ่ายจะไปยื่นขอแบ่งแยกภายในเดือนมกราคม 2514 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้บังคับคดีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2533 เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา จึงหมดสิทธิบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 แม้กรณีเป็นดังที่จำเลยอ้างว่าเป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งโจทก์เป็นฝ่ายเพิกเฉยไม่ไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินแล้วกลับมาฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีใหม่ และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์แล้วก็ตามก็หามีบทกฎหมายใดบัญญัติให้มีการขอบังคับคดีเกินกว่าสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2244/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน: แม้ได้มาด้วยเงินทุจริต แต่สิทธิในการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ยึดมีเฉพาะเจ้าของทรัพย์
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์พิพาทด้วยเงินที่ลักไปจากผู้ร้องก็ตาม แต่ก็จะถือว่ารถยนต์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหาได้ไม่ เพราะรถยนต์พิพาทไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องที่จำเลยที่ 1 ลักเอาไป เมื่อผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาท ผู้ร้องจึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิและไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยรถยนต์พิพาทที่โจทก์นำยึด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2244/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด แม้ได้มาด้วยเงินผิดกฎหมาย ก็ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ตกแก่ผู้เสียหาย
การที่จำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์คันพิพาทด้วยเงินที่ลักไปจากผู้ร้อง จะถือว่ารถยนต์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหาได้ไม่เพราะรถยนต์พิพาทไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องที่จำเลยที่ 1 ลักเอาไปเมื่อผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท ผู้ร้องจึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิและไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยรถยนต์พิพาทที่โจทก์นำยึด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1983/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าร่วมกัน: กลุ่มบุคคลทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธจนถึงแก่ความตาย
ผู้ตายกับพวกนั่งคุยกันอยู่ในบริเวณโรงเรียน จำเลยกับพวกอีก 5 คน เดินเข้าไปหาแล้วจำเลยถาม ป. พวกของผู้ตายว่าไปท้าทายเพื่อนจำเลยจริงหรือไม่ ป. ตอบว่าเพียงแต่พูดล้อเล่นเท่านั้น และพูดขอโทษจำเลย ระหว่างนั้นผู้ตายซึ่งมีอาการเมาสุราได้พูดกับจำเลยว่าให้จำเลยชกต่อยกับ ป. ตัวต่อตัว แต่มีอาจารย์เข้ามาห้ามเสียก่อน ต่อมาเมื่อผู้ตายกับพวกออกไปที่หน้าโรงเรียนจำเลยกับพวกประมาณ 10 คน พากันขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์3 คันมาที่โรงเรียนแล้วจำเลยกับพวกประมาณ 3-4 คน ลงจากรถจักรยานยนต์เดินเข้าไปหาผู้ตายกับพวกจำเลยถาม ป.ว่า ใครพูดว่าให้จำเลยชกกันตัวต่อตัว แต่ ป. ไม่ยอมบอก จำเลยจึงกระโดดเข้าชกผู้ตาย 1 ที ผู้ตายวิ่งหนีไป จำเลยพูดขึ้นว่า เอาเลยพวกไอ้ตัวนี้แหละแล้วจำเลยกับพวกประมาณ 10 คนก็วิ่งไล่ตามผู้ตายไปโดยพวกของจำเลยคนหนึ่งถือมีดปาดตาลยาวทั้งด้ามประมาณ 30 เซนติเมตรไปด้วย 1 เล่ม เมื่อจำเลยกับพวกวิ่งไล่ทันจำเลยกระโดดเตะผู้ตาย1 ที พวกของจำเลยก็เข้ารุมชกต่อยและใช้มีดปาดตาลแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย เมื่อคำนึงถึงว่าจำเลยกับพวกซึ่งมีจำนวนมากและมีมีดปาดตาลเป็นอาวุธเข้ารุมทำร้ายผู้ตายซึ่งวิ่งไปเพียงคนเดียวและบาดแผลที่ผู้ตายถูกทำร้ายเป็นบาดแผลฉกรรจ์ที่บริเวณอวัยวะสำคัญแสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1841/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการใช้ทั้งมีดและปืน แม้ไม่ถูกตัว แต่ความผิดฐานพยายามฆ่ายังคงมี และการพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืน
การที่จำเลยใช้มีดพกสั้นวิ่งไล่แทงผู้เสียหายและพูดว่าจะฆ่าผู้เสียหาย แล้วชักอาวุธปืนจ้องยิงไปทางผู้เสียหาย 1 นัดเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย และจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปแล้ว เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่รับอนุญาต แม้จะฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและในชั้นสืบพยานจำเลย จำเลยจะตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าพยายามฆ่า มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง และพาอาวุธปืนไปโดยไม่รับอนุญาต และจำเลยได้ลงชื่อไว้ในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาซึ่งปรากฏตามบันทึกดังกล่าวว่า จำเลยได้ให้การว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนมาก่อนก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ไม่ได้