คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมาน เวทวินิจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 990 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4323/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการขอถอนการยึดทรัพย์ในคดีล้มละลาย พิจารณาจากสัญญาเช่าและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกยึดจริง
เมื่อสิ่งปลูกสร้างที่ได้ถูกยึดไว้ในคดีล้มละลายไม่มีสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่72/1ตามที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยได้ใช้สิทธิตามสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินปลูกสร้างตึกแถวและอาคารระหว่างผู้ร้องกับจำเลยปลูกสร้างขึ้นถูกยึดไว้ด้วยผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่72/1ได้ แม้ผู้ร้องอ้างว่ามีสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินของจำเลยเพื่อปลูกสร้างตึกแถวและอาคารลงในที่ดินของจำเลยแล้วยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเมื่อครบอายุสัญญาเช่าซึ่งขณะนี้ยังไม่ครบกำหนดอายุสัญญาก็ตามก็เป็นแต่เพียงสิทธิตามสัญญาเช่าอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนเท่านั้นการยึดที่ดินหาได้กระทบต่อสิทธิของผู้ร้องไม่ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดที่ดินได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4323/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในสิ่งปลูกสร้างจากการเช่าที่ดิน: การยึดที่ดินไม่กระทบสิทธิผู้เช่า
เมื่อสิ่งปลูกสร้างที่ได้ถูกยึดไว้ในคดีล้มละลาย ไม่มีสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 72/1 ตามที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยได้ใช้สิทธิตามสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินปลูกสร้างตึกแถวและอาคารระหว่างผู้ร้องกับจำเลยปลูกสร้างขึ้นถูกยึดไว้ด้วย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้อง ขอให้ถอนการยึดสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 72/1 ได้
แม้ผู้ร้องอ้างว่ามีสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินของจำเลยเพื่อปลูกสร้างตึกแถวและอาคารลงในที่ดินของจำเลย แล้วยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเมื่อครบอายุสัญญาเช่าซึ่งขณะนี้ยังไม่ครบกำหนดอายุสัญญาก็ตามก็เป็นแต่เพียงสิทธิตามสัญญาเช่าอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนเท่านั้น การยึดที่ดินหาได้กระทบต่อสิทธิของผู้ร้องไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดที่ดินได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4323/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของผู้เช่าในสัญญาต่างตอบแทนเมื่อมีการยึดทรัพย์ในคดีล้มละลาย: สิทธิของผู้เช่ามีจำกัดเฉพาะตามสัญญา
แม้ผู้ร้องมีสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินของจำเลยที่ 2เพื่อปลูกสร้างตึกแถวและอาคารลงในที่ดินดังกล่าวแล้วยกสิ่งปลูกสร้างให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2เมื่อครบอายุสัญญาเช่า 30 ปี ก็เป็นแต่เพียงสิทธิตามสัญญาเช่าอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนเท่านั้น การยึดที่ดินดังกล่าวเพื่อขายทอดตลาดหาได้กระทบต่อสิทธิของผู้ร้องไม่ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดที่ดินดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4233/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ฐานะลูกหนี้ล้มละลาย: ศาลต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ไม่เพียงแค่การสันนิษฐานตามกฎหมาย
การกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของลูกหนี้ซึ่งพระราชบัญญัติ ล้มละลายฯมาตรา8ให้สันนิษฐานว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นเป็นเพียงเหตุหนึ่งที่กฎหมายให้อำนาจโจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้เท่านั้นส่วนการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องนั้นศาลต้องพิจารณาเอาความจริงดังที่บัญญัติในมาตรา9หรือมาตรา10และมาตรา14โดยต้องคำนึงถึงเหตุผลประกอบให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริงลำพังแต่คำเบิกความของโจทก์เพียงปากเดียวกล่าวอ้างลอยๆว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้โดยไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงให้แน่ชัดว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4229/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความบังคับคดีล้มละลาย: การบังคับคดีภายใน 10 ปีนับจากคำพิพากษาตามยอม และผลกระทบต่อการฟ้องล้มละลาย
ศาลชั้นต้นได้ยกขึ้นวินิจฉัยว่าการที่โจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยที่2ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามยอมนับได้ว่ามีผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องและเพื่อให้ชำระหนี้ตามที่เรียกร้องย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความบังคับคดีโจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีแก่จำเลยที่2อีกได้แม้ศาลชั้นต้นจะได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังว่าโจทก์ไม่นำสืบให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่2เป็นหนี้โจทก์เท่าใดแน่นอนประกอบกับจำเลยที่2มีเงินมาวางศาลประกันการชำระหนี้พอกับจำนวนหนี้ที่โจทก์อ้างว่ายังค้างชำระคดีจึงยังไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยที่2เป็นบุคคลล้มละลายก็ตามแต่ปัญหาที่ว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยที่2ล้มละลายนั้นเป็นหนี้ที่โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้หรือไม่ย่อมเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา14แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483ด้วยดังนั้นประเด็นที่ว่าโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่2ได้อีกหรือไม่จึงนับว่าประเด็นสำคัญโดยตรงในคดีหาใช่นอกประเด็นของคดีล้มละลายไม่และคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวอาจมีผลผูกพันคู่ความในคดีและกระทบต่อสิทธิของจำเลยที่2ให้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นอุทธรณ์ของจำเลยที่2จึงเป็นสาระแก่คดีที่ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยให้แม้จำเลยที่2จะเป็นฝ่ายชนะในผลแห่งคดีก็ตาม กำหนดเวลาให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271มิใช่เรื่องอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องอันจะอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับอายุความสะดุดหยุดลงมาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมจำเลยทั้งสองตกลงจะชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน1ปีนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่19มกราคม2526ซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับตามคำพิพากษาได้แล้วการที่จำเลยที่2ไม่ชำระหนี้และโจทก์ได้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่2ชำระหนี้บางส่วนแล้วก็ตามโจทก์ก็ชอบที่จะบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ที่เหลือจากจำเลยที่2ภายใน10ปีนับแต่วันที่19มกราคม2526แต่โจทก์ได้นำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่2ขอให้ล้มละลายเมื่อวันที่20พฤษภาคม2536ซึ่งพ้นกำหนดสิบปีแล้วโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อหนี้ตามฟ้องโจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำหนี้ตามฟ้องมาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยที่2ล้มละลายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4229/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความบังคับคดีและการฟ้องล้มละลาย: สิทธิบังคับคดีสูญสิ้นเมื่อพ้น 10 ปีหลังครบกำหนดชำระหนี้
ศาลชั้นต้นได้ยกขึ้นวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามยอมนับได้ว่ามีผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องและเพื่อให้ชำระหนี้ตามที่เรียกร้องย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความบังคับคดี โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 อีกได้ แม้ศาลชั้นต้นจะได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยฟังว่าโจทก์ไม่นำสืบให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์เท่าใดแน่นอน ประกอบกับจำเลยที่ 2 มีเงินมาวางศาลประกันการชำระหนี้พอกับจำนวนหนี้ที่โจทก์อ้างว่ายังค้างชำระ คดีจึงยังไม่มีเหตุที่จะให้จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลายก็ตาม แต่ปัญหาที่ว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายนั้นเป็นหนี้ที่โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้หรือไม่ ย่อมเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 14 แห่งพ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ด้วย ดังนั้น ประเด็นที่ว่าโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 2 ได้อีกหรือไม่ จึงนับว่าประเด็นสำคัญโดยตรงในคดีหาใช่นอกประเด็นของคดีล้มละลายไม่ และคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวอาจมีผลผูกพันคู่ความในคดีและกระทบต่อสิทธิของจำเลยที่ 2 ให้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จึงเป็นสาระแก่คดีที่ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยให้แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นฝ่ายชนะในผลแห่งคดีก็ตาม
กำหนดเวลาให้บังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 มิใช่เรื่องอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องอันจะอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยอายุความตาม ป.พ.พ. จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับอายุความสะดุดหยุดลงมาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้
หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมจำเลยทั้งสองตกลงจะชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2526 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับตามคำพิพากษาได้แล้วการที่จำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้และโจทก์ได้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2ชำระหนี้บางส่วนแล้วก็ตาม โจทก์ก็ชอบที่จะบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ที่เหลือจากจำเลยที่ 2 ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ 19 มกราคม 2526 แต่โจทก์ได้นำหนี้ดังกล่าวมาฟ้อง จำเลยที่ 2 ขอให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2536 ซึ่งพ้นกำหนดสิบปีแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเพื่อหนี้ตามฟ้อง โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำหนี้ตามฟ้องมาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4229/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิใช่เรื่องอายุความ การฟ้องล้มละลายเกินกำหนดสิทธิ
กำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271มิใช่เรื่องอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องอันจะอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับอายุความสะดุดหยุดลงมาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมจำเลยทั้งสองตกลงจะชำระหนี้ให้เสร็จภายใน1ปีนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ชอบที่จะบังคับคดีจากจำเลยที่2ภายใน10ปีนับแต่วันครบกำหนดดังกล่าวแต่โจทก์นำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่2ขอให้ล้มละลายเมื่อพ้นกำหนด10ปีแล้วโจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยที่2ล้มละลายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4226/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีเช็ค ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยไม่ชอบ
โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังพยานหลักฐานว่าโจทก์กับจำเลยที่1มีหนี้สินกันอยู่จริงหรือไม่อันเป็นข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าหนี้นั้นบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ.2494มาตรา22การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และอุทธรณ์ของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4226/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง: การวินิจฉัยพยานหลักฐานหนี้สิน
โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังพยานหลักฐานว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีหนี้สินกันอยู่จริงหรือไม่ อันเป็นข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าหนี้นั้นบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบ ต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และอุทธรณ์ของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4085/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอคืนรถยนต์เช่าซื้อเมื่อถูกยึดริบ: การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและการประสงค์จะรับค่าเช่าซื้อ
แม้สัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกยึดถูกริบไม่ว่าโดยเหตุใดให้ถือว่าสัญญาเลิกกันโดยมิต้องบอกกล่าวก่อนและผู้เช่าซื้อยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างจนครบแต่ผู้ร้องไม่ได้ใช้สิทธิตามสัญญาดังกล่าวกลับยอมรับชำระค่าเช่าซื้ออีก2งวดหลังจากรถยนต์ของกลางถูกยึดแล้วและยอมผ่อนผันการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอีก7งวดซึ่งเป็นเงินส่วนน้อยเมื่อเทียบกับราคาเช่าซื้อทั้งหมดแสดงว่าผู้ร้องไม่ประสงค์จะเลิกสัญญากับผู้เช่าซื้อและผู้ร้องต้องการจะได้ค่าเช่าซื้อตามสัญญาเท่านั้นการที่ผู้ร้องขอคืนรถยนต์ของกลางจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียวเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลาง
of 99