พบผลลัพธ์ทั้งหมด 990 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6114/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดสืบพยานส่งผลให้ศาลยกคำร้อง และการอุทธรณ์ที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอน
ผู้ร้องไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานผู้ร้องชั้นร้องขัดทรัพย์ศาลชั้นต้นถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบให้ยกคำร้องการที่ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นโดยอ้างว่ามิได้มีเจตนาที่จะไม่ไปศาลตามกำหนดนัดและได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายขอเลื่อนคดีอุทธรณ์ของผู้ร้องเท่ากับเป็นการขอให้ศาลพิจารณาคดีของผู้ร้องใหม่ซึ่งเป็นกรณีต้องบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา153และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา207,208และ209การที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์โดยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบแม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6114/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มาศาลตามนัดสืบพยานและการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามกฎหมายล้มละลาย
ผู้ร้องไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานผู้ร้องชั้นร้องขัดทรัพย์ศาลชั้นต้นถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบให้ยกคำร้องการที่ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นโดยอ้างว่ามิได้มีเจตนาที่จะไม่ไปศาลตามกำหนดนัดและได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายขอเลื่อนคดีอุทธรณ์ของผู้ร้องเท่ากับเป็นการขอให้ศาลพิจารณาคดีของผู้ร้องใหม่ซึ่งเป็นกรณีต้องบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา153และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา207,208และ209การที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์โดยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบแม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6114/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มาศาลตามนัดสืบพยานและการอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ การดำเนินการทางกระบวนพิจารณาต้องเป็นไปตามขั้นตอน
ผู้ร้องไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานผู้ร้องชั้นร้องขัดทรัพย์ศาลชั้นต้นถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบ ให้ยกคำร้อง การที่ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นโดยอ้างว่ามิได้มีเจตนาที่จะไม่ไปศาลตามกำหนดนัดและได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายขอเลื่อนคดี อุทธรณ์ของผู้ร้องเท่ากับเป็นการขอให้ศาลพิจารณาคดีของผู้ร้องใหม่ซึ่งเป็นกรณีต้องบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 153 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207,208 และ 209การที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์โดยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบแม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6114/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามนัดสืบพยานและการอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยวิธี
ผู้ร้องไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้นถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบแล้วมีคำสั่งว่า ให้ยกคำร้อง การที่ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าผู้ร้องมิได้มีเจตนาที่จะไม่ไปศาลตามกำหนดนัด และในวันนัดสืบพยานผู้ร้องได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายเดินทางจากกรุงเทพมหานครนำคำร้องขอเลื่อนคดีไปยื่นต่อศาลชั้นต้นแต่ไปถึงศาลหลังเวลานัดประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากการจราจรในกรุงเทพมหานครติดขัดอย่างมาก และเจ้าหน้าที่ศาลไม่ยอมรับคำร้องอ้างว่าศาลได้ดำเนินกระบวน-พิจารณาและยกคำร้องของผู้ร้องไปแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องเท่ากับเป็นการขอให้ศาลพิจารณาคดีของผู้ร้องใหม่โดยเปิดโอกาสให้ผู้ร้องนำพยานเข้าสืบ ซึ่งเป็นกรณีต้องบังคับตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 และ ป.วิ.พ. มาตรา207, 208 และ 209 การที่ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์โดยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์นั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งให้ถูกต้อง
ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์นั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6069/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน กรณีผู้รับเหมาทิ้งงาน
เมื่อถึงงานงวดที่ 4 จำเลยหยุดทำการก่อสร้าง โจทก์เตือนให้จำเลยก่อสร้างต่อไป จำเลยก็ไม่ยอมและในที่สุดทิ้งงานไป ดังนี้ย่อมเห็นได้โดยสภาพหรือโดยเจตนาที่จำเลยได้แสดงออก จึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะต้องให้โจทก์บอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยทำการก่อสร้างต่อไปอีก เพราะถึงอย่างไรจำเลยก็ทิ้งงานหรือไม่ชำระหนี้อยู่ดี ดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะเลิกสัญญาเสียได้โดยมิจำต้องบอกกล่าวก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6069/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาก่อสร้าง: ไม่ต้องบอกกล่าวก่อนหากจำเลยทิ้งงานชัดเจน
เมื่อถึงงานงวดที่4จำเลยหยุดทำการก่อสร้างโจทก์เตือนให้จำเลยก่อสร้างต่อไปจำเลยก็ไม่ยอมและในที่สุดทิ้งงานไปดังนี้ย่อมเห็นได้โดยสภาพหรือโดยเจตนาที่จำเลยได้แสดงออกจึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะต้องให้โจทก์บอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยทำการก่อสร้างต่อไปอีกเพราะถึงอย่างไรจำเลยก็ทิ้งงานหรือไม่ชำระหนี้อยู่ดีดังนั้นโจทก์จึงชอบที่จะเลิกสัญญาเสียได้โดยมิจำต้องบอกกล่าวก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6069/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาก่อสร้างโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน กรณีจำเลยทิ้งงานโดยชัดเจน
เมื่อถึงงานงวดที่ 4 จำเลยหยุดทำการก่อสร้าง โจทก์เตือนให้จำเลยก่อสร้างต่อไป จำเลยก็ไม่ยอมและในที่สุดทิ้งงานไปดังนี้ย่อมเห็นได้โดยสภาพหรือโดยเจตนาที่จำเลยได้แสดงออกจึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะต้องให้โจทก์บอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยทำการก่อสร้างต่อไปอีก เพราะถึงอย่างไรจำเลยก็ทิ้งงานหรือไม่ชำระหนี้อยู่ดี ดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะเลิกสัญญาเสียได้โดยมิจำต้องบอกกล่าวก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6069/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาก่อสร้าง: ผู้รับเหมาทิ้งงาน แม้โจทก์มิได้บอกกล่าวกำหนดเวลา ก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้
เมื่อถึงงานงวดที่4จำเลยหยุดทำการก่อสร้างโจทก์เตือนให้จำเลยก่อสร้างต่อไปจำเลยก็ไม่ยอมและในที่สุดทิ้งงานไปดังนี้ย่อมเห็นได้โดยสภาพหรือโดยเจตนาที่จำเลยได้แสดงออกจึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะต้องให้โจทก์บอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยทำการก่อสร้างต่อไปอีกเพราะถึงอย่างไรจำเลยก็ทิ้งงานหรือไม่ชำระหนี้อยู่ดีดังนั้นโจทก์จึงชอบที่จะเลิกสัญญาเสียได้โดยมิจำต้องบอกกล่าวก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6056/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากการขายรถเช่าซื้อได้ราคาต่ำกว่าสัญญา ไม่ขาดอายุความ และโจทก์มีสิทธิเรียกร้อง
สัญญาเช่าซื้อเป็นเอกเทศสัญญาลักษณะหนึ่งที่กำหนดให้คู่สัญญามีสิทธิและหน้าที่ซึ่งจะต้องปฎิบัติต่อกันหากฝ่ายใดปฎิบัติผิดสัญญาเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหายฝ่ายที่ปฎิบัติผิดสัญญาจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การผิดสัญญานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา222วรรคหนึ่งดังนั้นแม้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1จะไม่มีข้อสัญญาที่กำหนดว่าหากนำรถที่เช่าซื้อออกขายไม่ได้ราคาเท่ากับราคาค่าเช่าซื้อผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดก็ตามแต่ตามสัญญาดังกล่าวระบุให้จำเลยที่1ต้องรับผิดใช้ค่าเสื่อมราคาและค่าเสียหายต่างๆเมื่อมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อด้วยการที่โจทก์ขายรถยนต์ที่เช่าซื้อและนำเงินที่ได้มารวมกับค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่1ชำระให้โจทก์แล้วก็ยังต่ำกว่าราคาค่าเช่าซื้อที่กำหนดไว้ตามสัญญาเช่าซื้อย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าโจทก์ได้รับความเสียหายฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นค่าเสียหายที่โจทก์พึงได้รับและกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ให้แก่โจทก์จึงชอบแล้ว คดีที่ผู้ให้เช่าจะต้องฟ้องผู้เช่าเกี่ยวกับสัญญาเช่าภายในกำหนด6เดือนนับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา563หมายถึงการฟ้องคดีในกรณีที่ผู้เช่าปฎิบัติผิดหน้าที่ของผู้เช่าโดยทั่วไปเช่นการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการใช้รถบุบสลายแต่คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์เรียกค่าเสียหายที่โจทก์ขายรถยนต์พิพาทและนำเงินไปรวมกับค่าเช่าซื้อที่ได้รับชำระมาแล้วยังได้เงินต่ำกว่าค่าเช่าซื้อตามสัญญาซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164เดิมที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้คดีจึงไม่ขาดอายุความ ที่จำเลยที่2ฎีกาว่าโจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่1เมื่อจำเลยที่1ผิดนัดชำระหนี้จำเลยที่2ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดนั้นในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่2มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6056/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อและการบังคับสิทธิเรียกร้องนอกเหนืออายุความที่กำหนด
สัญญาเช่าซื้อเป็นเอกเทศสัญญาลักษณะหนึ่งที่กำหนดให้คู่สัญญามีสิทธิและหน้าที่ซึ่งจะต้องปฏิบัติต่อกัน หากฝ่ายใดปฏิบัติผิดสัญญาเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหาย ฝ่ายที่ปฏิบัติผิดสัญญาจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การผิดสัญญานั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 222 วรรคหนึ่ง ดังนั้นแม้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะไม่มีข้อสัญญาที่กำหนดว่า หากนำรถที่เช่าซื้อออกขายไม่ได้ราคาเท่ากับราคาค่าเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดก็ตามแต่ตามสัญญาดังกล่าวระบุให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ค่าเสื่อมราคาและค่าเสียหายต่าง ๆ เมื่อมีการเลิกสัญญาเช่าซื้อด้วย การที่โจทก์ขายรถยนต์ที่เช่าซื้อและนำเงินที่ได้มารวมกับค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ชำระให้โจทก์แล้ว ก็ยังต่ำกว่าราคาค่าเช่าซื้อที่กำหนดไว้ตามสัญญาเช่าซื้อ ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นค่าเสียหายที่โจทก์พึงได้รับและกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ให้แก่โจทก์จึงชอบแล้ว
คดีที่ผู้ให้เช่าจะต้องฟ้องผู้เช่าเกี่ยวกับสัญญาเช่าภายในกำหนด6 เดือน นับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 563 หมายถึงการฟ้องคดีในกรณีที่ผู้เช่าปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้เช่าโดยทั่วไป เช่นการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการใช้รถบุบสลาย แต่คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์เรียกค่าเสียหายที่โจทก์ขายรถยนต์พิพาทและนำเงินไปรวมกับค่าเช่าซื้อที่ได้รับชำระมาแล้วยังได้เงินต่ำกว่าค่าเช่าซื้อตามสัญญา ซึ่ง ป.พ.พ. หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 เดิม ที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ คดีจึงไม่ขาดอายุความ
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดนั้น ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีที่ผู้ให้เช่าจะต้องฟ้องผู้เช่าเกี่ยวกับสัญญาเช่าภายในกำหนด6 เดือน นับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 563 หมายถึงการฟ้องคดีในกรณีที่ผู้เช่าปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้เช่าโดยทั่วไป เช่นการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการใช้รถบุบสลาย แต่คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์เรียกค่าเสียหายที่โจทก์ขายรถยนต์พิพาทและนำเงินไปรวมกับค่าเช่าซื้อที่ได้รับชำระมาแล้วยังได้เงินต่ำกว่าค่าเช่าซื้อตามสัญญา ซึ่ง ป.พ.พ. หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 เดิม ที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ คดีจึงไม่ขาดอายุความ
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดนั้น ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย