พบผลลัพธ์ทั้งหมด 211 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2092/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและการพาอาวุธปืนเป็นคนละกรรมกัน
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะ มีการกระทำที่แยกจากกันเป็นแต่ละฐานความผิดได้โดยชัดเจน ไม่เกี่ยวเนื่องกัน และเจตนาในการกระทำความผิดก็เป็นคนละอย่างแตกต่างจากกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2092/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมต่างกัน: ครอบครองอาวุธปืนและพาอาวุธปืนในทางสาธารณะ
ความผิดข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาพาอาวุธปืนไปตามถนนอันเป็นสาธารณะ มีการกระทำที่แยกจากกันเป็นแต่ละฐานความผิดได้โดยชัดเจน ไม่เกี่ยวเนื่องกันและเจตนาในการกระทำความผิดก็เป็นคนละอย่างแตกต่างกัน ความผิดทั้งสองข้อหาจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2046/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญานายหน้าไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ สัญญาเกิดได้จากการตกลงด้วยวาจา
สัญญานายหน้าเป็นการตกลงระหว่างกันว่า นายหน้าจะทำการเพื่อชี้ช่องหรือจัดการให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ทำสัญญากับบุคคลภายนอก และไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการทำสัญญาจะต้องปฏิบัติเช่นใด ดังนั้นการทำสัญญาหรือตกลงดังกล่าวจึงไม่มีแบบ เพียงแต่คู่สัญญาตกลงกันด้วยวาจาสัญญานายหน้าย่อมเกิดขึ้นตามข้อตกลงนั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2046/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญานายหน้าไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ การตกลงด้วยวาจาถือเป็นสัญญานายหน้าได้
สัญญานายหน้าไม่มีแบบ ไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ เพียงแต่คู่สัญญาตกลงกันด้วยวาจาสัญญานายหน้าย่อมเกิดขึ้นตามข้อตกลงนั้นการแต่งตั้งหรือมอบหมายเป็นนายหน้าจึงไม่ต้องทำตามแบบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2028/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วม vs. ผู้รู้เห็น: จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมวางแผนหรือกระทำความผิด
จำเลยที่ 2 มีครรภ์แก่ได้ 7 เดือน รู้ถึงเจตนาของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นสามีว่าจะไปชิงทรัพย์ผู้ตาย แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 ล๊อกคอผู้ตาย จำเลยที่ 2 รีบปลีกตัวออกไปจากที่เกิดเหตุ มิได้ร่วมเป็นตัวการในการชิงทรัพย์ผู้ตายกับจำเลยที่ 1 เพราะมิได้แบ่งหน้าที่กันทำ ส่วนที่ได้มีการนัดหมายระหว่างจำเลยทั้งสองว่า หากจำเลยที่ 1ลงมือกระทำผิดขณะใดให้จำเลยที่ 2 หลบไปนั้น ก็มิใช่การร่วมมือกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2028/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ การพิสูจน์เจตนาในการร่วมกระทำความผิด และการยกฟ้องจำเลยที่ 2
ข้อความในบันทึกคำรับสารภาพชั้นจับกุมและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนมิได้กล่าวถึงการกระทำใด ๆ ที่เป็นการร่วมกระทำผิดของจำเลยที่ 2 คงได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 2 รู้ถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่าจะไปชิงทรัพย์ผู้ตาย และขณะที่จำเลยที่ 1 ล็อกคอผู้ตาย จำเลยที่ 2 ก็รีบปลีกตัวออกไปจากที่เกิดเหตุพฤติการณ์เช่นนี้จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมเป็นตัวการในการชิงทรัพย์ผู้ตายร่วมกับจำเลยที่ 1 เพราะมิได้แบ่งหน้าที่กันทำความผิด ส่วนข้อที่ว่าได้มีการนัดหมายระหว่างจำเลยทั้งสองว่าหากจำเลยที่ 1 ลงมือกระทำผิดขณะใดให้จำเลยที่ 2 หลบไปนั้น ก็มิใช่การร่วมมือหรือเป็นการกระทำผิดในทางอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1991/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนที่รายละเอียดบันทึกคำให้การไม่ตรงกับความเป็นจริง และการยื่นคำร้องฝากขังที่ไม่ถูกต้อง ไม่ทำให้การสอบสวนเป็นโมฆะ
บันทึกคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนลง วัน เดือน ปี ไม่ตรงกับวันที่ทำการสอบสวนตามความเป็นจริง มีการเติมข้อความว่าพยานที่ถูกสอบปากคำเป็นพยานคนที่เท่าไร ไม่มีคำว่าสอบปากคำพยานต่อหน้านายตำรวจชื่ออะไร และมีการเติมข้อความว่าสอบปากคำต่อหน้านายตำรวจชื่ออะไร ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดในการสอบสวน หากไม่มีก็ไม่ทำให้การสอบสวนเสียไป ถือได้ว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องต่อศาลขอฝากขังจำเลยต่อ โดยอ้างว่ายังเหลือพยานที่จะสอบอีกหลายปาก แต่ความจริงพนักงานสอบสวนสอบปากคำไปหมดแล้ว เป็นเรื่องรายละเอียด การยื่นคำร้องที่ไม่ตรงต่อความจริงเช่นนี้ ไม่ทำให้การสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1991/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของบันทึกคำให้การและการยื่นคำร้องฝากขังที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่กระทบความชอบด้วยกฎหมายของการสอบสวน
แม้บันทึกคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนจะลง วัน เดือน ปีไม่ตรงกับวันที่ทำการสอบสวนตามความเป็นจริง หรือมีการเติมข้อความว่าพยานที่ถูกสอบปากคำเป็นพยานคนที่เท่าไร หรือไม่มีคำว่าสอบปากคำพยานต่อหน้านายตำรวจชื่ออะไร หรือเติมข้อความว่าสอบปากคำต่อหน้านายตำรวจชื่ออะไรก็ตาม แต่ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดในการสอบสวนเท่านั้น หากไม่มีข้อความดังกล่าวก็ไม่ทำให้การสอบสวนเสียไปเนื่องจากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้พนักงานสอบสวนบันทึกรายละเอียดดังกล่าวลงไปในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเมื่อพนักงานสอบสวนได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหาเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีลงโทษต่อไปแล้ว ถือได้ว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องต่อศาลขอฝากขังจำเลยต่อ โดยอ้างว่ายังเหลือพยานที่จะสอบอีกหลายปาก แต่ความจริงพนักงานสอบสวนสอบปากคำไปหมดแล้วก็เป็นเพียงรายละเอียดเท่านั้น การยื่นคำร้องที่ไม่ตรงต่อความจริงเช่นนี้ หาทำให้การสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีบุกรุกที่ดินร่วมกัน แม้ที่ดินต่างแปลง ก็มีสิทธิฟ้องร่วมได้ หากมีส่วนได้เสียร่วมกัน
โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งสองบางส่วนทางด้านทิศเหนือเป็นผืนติดต่อกันในเวลาเดียวกัน เพื่อแย่งสิทธิครอบครองเป็นของตน ดังนี้ โจทก์ทั้งสองย่อมมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้นแล้ว แม้ที่ดินที่ถูกบุกรุกจะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์คนละฉบับและเป็นที่ดินต่างแปลงกัน ก็เป็นเรื่องหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่า โจทก์ทั้งสองมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลความแห่งคดีจึงชอบที่จะเป็นโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยรวมกันมาในคดีเดียวกันได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีร่วมกันของเจ้าของที่ดินต่างแปลงที่ถูกบุกรุกต่อเนื่องกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีส่วนได้เสียร่วมกัน
จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งสองบางส่วนทางด้านทิศเหนือเป็นผืนติดต่อกันในเวลาเดียวกันเพื่อแย่งสิทธิครอบครองเป็นของตนโจทก์ทั้งสองย่อมมีส่วนได้เสียในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีแม้ที่ดินที่ถูกบุกรุกจะมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)คนละฉบับ และเป็นที่ดินต่างแปลงกันก็ตาม ก็เป็นเรื่องหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น ถือได้ว่า โจทก์ทั้งสองมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลความแห่งคดี ชอบที่จะเป็นโจทก์ร่วมฟ้องจำเลยรวมกันในคดีเดียวกันได้