พบผลลัพธ์ทั้งหมด 211 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คเพื่อชำระหนี้ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย และผลต่อความผิดฐานออกเช็ค
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91 แต่ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามีพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 3 ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า "ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ" ดังนั้น การออกเช็คที่จะมีมูลความผิดตามมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การที่จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้เงินยืมที่มีอยู่จริง แต่ไม่ปรากฏว่าการยืมเงินของจำเลยทั้งสองตามเช็คพิพาทแต่ละฉบับซึ่งมีจำนวนตั้งแต่หนึ่งล้านบาทขึ้นไปมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ยืม หนี้เงินยืมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสองซึ่งเดิมเป็นความผิดจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ต่อไป จำเลยทั้งสองย่อมพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ & กฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า ทำให้จำเลยพ้นผิด
ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฏว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 3 ได้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 เสียทั้งสิ้น และมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติองค์ประกอบความผิดว่า ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ ดังนั้นการออกเช็คที่จะมีมูลความผิดตามกฎหมายใหม่ดังกล่าวจะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองออกเช็คทั้งสี่ฉบับเพื่อชำระหนี้เงินยืมที่มีอยู่จริงแต่การยืมเงินของจำเลยทั้งสองตามเช็คแต่ละฉบับซึ่งมีจำนวนตั้งแต่หนึ่งล้านบาทขึ้นไปไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ยืมหนี้เงินยืมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสองซึ่งเดิมเป็นความผิดจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ต่อไป จำเลยทั้งสองย่อมพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีอาญาผูกพันคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกัน ประเด็นความประมาทเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้
คดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในมูลละเมิด เป็นการกระทำเดียวกันกับคดีอาญาที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหาความผิดต่อชีวิต ประมาท และก่อให้เกิดเพลิงไหม้ การที่จำเลยที่ 1ที่ 2 ในคดีแพ่ง ยื่นคำร้องขออ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 4531/2532 ของคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในชั้นฎีกา เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแพ่งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2528 ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ 4531/2532 ได้อ่านให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2533 จำเลยที่ 1ที่ 2 ในคดีแพ่ง จึงไม่อาจอ้าง คำพิพากษาฎีกาดังกล่าวได้ก่อนนั้น และปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้เคยยื่นคำร้องขออ้างคำพิพากษาฎีกาที่4531/2532 ต่อศาลอุทธรณ์ มาแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งอย่างใดดังนี้เห็นว่า คำพิพากษาฎีกาที่ 4531/2532 เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็น ในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกามีอำนาจรับ พยานหลักฐานดังกล่าวเข้าสู่สำนวนความในชั้นฎีกาได้ พนักงานอัยการเคยเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญากล่าวหาจำเลยที่ 2 เป็นจำเลย ว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ ซึ่งมี มูลคดีเป็นการกระทำเดียวกันกับคดีแพ่งมาก่อน คดีของโจทก์ใน คดีแพ่งจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อผลของคำพิพากษา คดีส่วนอาญา มีคำวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มิได้กระทำประมาท เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้และคดีถึงที่สุดไปแล้ว ข้อเท็จจริง ดังกล่าวศาลในคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือตามที่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สิน: เจ้าของสถานที่ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ที่ผู้เช่าซื้อมาใช้ในกิจการ หากหนี้มิได้เกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินโดยตรง
โจทก์กับ อ. ร่วมกันเปิดศูนย์ภาษาขึ้นที่ตึกแถวของจำเลยโดยตกลงกันว่า โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหมดและจะจ่ายผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนให้แก่จำเลยในอัตราร้อยละ 30ของค่าจ้างที่ได้รับ โจทก์ได้ซื้อทรัพย์พิพาทมาจากบุคคลภายนอกเพื่อใช้ในการประกอบกิจการของศูนย์ภาษาในตึกแถวดังกล่าวโดยไม่มีหนี้อันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทนั้นแต่อย่างใด ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าค่าโทรศัพท์ และค่าผลประโยชน์ที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยอยู่เป็นหนี้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการของศูนย์ภาษา หาใช่เป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทซึ่งจำเลยครองอยู่ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินต้องมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่เจ้าของทรัพย์ การชำระค่าเช่าและผลประโยชน์จากการดำเนินกิจการไม่ใช่หนี้ลักษณะดังกล่าว
โจทก์กับ อ. ได้ร่วมกันเปิดศูนย์ภาษาขึ้นที่ตึกแถวของจำเลยโจทก์กับ อ. ตกลงกับจำเลยว่า โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหมดและจะจ่ายผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนให้แก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของสถานที่ร้อยละ 30 ของรายได้ที่ได้รับ โจทก์ได้ซื้อเครื่องใช้ประจำสำนักงานชนิดต่าง ๆ และอุปกรณ์อื่น ๆ ตามบัญชีทรัพย์พิพาทรวมราคา 19,915 บาท เพื่อนำมาใช้ในตึกแถวโจทก์จึงเป็นผู้ซื้อทรัพย์พิพาทจากบุคคลภายนอก เพื่อใช้ในการประกอบกิจการของศูนย์สอนภาษาโดยไม่มีหนี้อันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทนั้นแต่อย่างใดส่วนค่าน้ำค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ และค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่จะต้องแบ่งให้จำเลยที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยอยู่นั้น ก็เป็นหนี้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการของศูนย์สอนภาษา เพื่อประโยชน์ในการจัดการให้บริการแก่ลูกค้าที่มาติดต่อเท่านั้น หาใช่หนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทซึ่งจำเลยครอบครองอยู่ตาม ป.พ.พ.มาตรา 241 ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สิน: การชำระค่าตอบแทนการเช่าสถานที่ ไม่เป็นเหตุให้มีสิทธิยึดทรัพย์ที่ใช้ในกิจการ
โจทก์กับ อ.ร่วมกันเปิดศูนย์ภาษาขึ้นที่ตึกแถวของจำเลยโดยตกลงกันว่าโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหมด และจะจ่ายผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนให้แก่จำเลยในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างที่ได้รับ โจทก์ได้ซื้อทรัพย์พิพาทมาจากบุคคลภายนอก เพื่อใช้ในการประกอบกิจการของศูนย์ภาษาในตึกแถวดังกล่าวโดยไม่มีหนี้อันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทนั้นแต่อย่างใด ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ และค่าผลประโยชน์ที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยอยู่ เป็นหนี้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการของศูนย์ภาษา หาใช่เป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทซึ่งจำเลยครองอยู่ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการรับคืนทรัพย์สินที่ซื้อมาเพื่อใช้ในกิจการเช่า แม้มีหนี้ค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นจากการดำเนินกิจการ
โจทก์ซื้อทรัพย์พิพาทมาจากบุคคลภายนอกเพื่อนำมาใช้ในกิจการของโจทก์ในอาคารที่เช่าจากจำเลยโดยไม่มีหนี้อันเกี่ยวกับทรัพย์พิพาทระหว่างโจทก์และจำเลย สำหรับค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าค่าโทรศัพท์ และค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่จะต้องแบ่งให้จำเลยที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยอยู่ก็เป็นหนี้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการของโจทก์เพื่อประโยชน์ในการจัดการให้บริการแก่ลูกค้าที่มาติดต่อเท่านั้น มิใช่เป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทซึ่งจำเลยครอบครองอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 241 จำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาทไว้ ต้องคืนให้แก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานลักทรัพย์ ผู้ใช้สั่งการ และผู้สนับสนุนการกระทำผิด
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 2 ไปลักทรัพย์โดยไม่ได้ร่วมไปลักทรัพย์ด้วยถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการในการกระทำความผิดดังที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 83 และฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามมาตรา 84จะลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดไม่ได้เช่นกันแต่การกระทำของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่า เป็นการสนับสนุนให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามมาตรา 86 แม้โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องศาลก็ลงโทษจำเลยที่ 1 ในฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1425/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำเบิกความผู้ร่วมกระทำผิด: การรับฟังพยานหลักฐานประกอบกับพยานหลักฐานอื่นเพื่อพิสูจน์ความผิด
การเบิกความของ ว. พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 2 และถูกพิพากษาลงโทษไปแล้วในข้อหาความผิดฐานเดียวกันกับจำเลยที่ 2 ที่ระบุว่า จำเลยที่ 2 ร่วมเป็นคนร้ายลักทรัพย์ หาได้มีเหตุจูงใจที่จะเบิกความเพื่อให้ตนพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการเบิกความของตนไม่ จึงไม่ต้องห้ามที่จะรับฟังคำเบิกความของ ว. เสียเลย ส่วนจะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่นั้นจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1425/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำเบิกความผู้ร่วมกระทำผิด: การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา
คดีมี ว.เป็นประจักษ์พยานที่รู้เห็นการกระทำผิดของจำเลยเพียงปากเดียว แต่ว.เองก็ถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาความผิดฐานเดียวกันกับจำเลย ว.จึงอยู่ในฐานะผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลย คำเบิกความของ ว.มีลักษณะเป็นคำซัดทอด ที่ปกติลำพังแต่คำเบิกความของพยานดังกล่าวจะรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ว.เบิกความในคดีนี้เป็นพยานโจทก์หลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก ว.ไปแล้ว การเบิกความของ ว.ว่าจำเลยร่วมเป็นคนร้ายลักทรัพย์หาได้มีเหตุจูงใจที่จะเบิกความเพื่อให้ตนพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการเบิกความของตนไม่ จึงไม่ต้องห้ามที่จะรับฟังคำเบิกความของ ว.เสียเลย ส่วนจะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่จะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์