พบผลลัพธ์ทั้งหมด 289 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1853/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
จำเลยทั้งสองฎีกาโดยอ้างเป็นข้อกฎหมายว่า ตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119 ที่แก้ไขแล้ว มีความมุ่งหมายว่าการเทสิ่งของต่าง ๆ ลงในแม่น้ำลำคลองอันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอน หรือทำให้แม่น้ำลำคลองสกปรกซึ่งโจทก์จะต้องนำพยานมาสืบให้มีข้อเท็จจริงว่า การที่จำเลยที่ 1 เททิ้งขี้เถ้าแกลบลงในแม่น้ำแล้วอันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอนหรือสกปรกถึงจะครบองค์ประกอบเป็นความผิดแต่โจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิด ดังนี้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการมุ่งประสงค์ที่จะให้ฟังว่า การที่จำเลยที่ 1 เททิ้งขี้เถ้าแกลบลงในแม่น้ำน้อยไม่เป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินหรือตกตะกอนหรือทำให้แม่น้ำน้อยสกปรกฎีกาจำเลยทั้งสองจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1800-1803/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าไม่จดทะเบียนเกิน 3 ปี สิทธิบังคับได้จำกัด สัญญาเช่าระงับเมื่อบอกเลิก
สัญญาเช่าที่พิพาทมีกำหนดระยะเวลาการเช่า 30 ปี เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมฟ้องร้องบังคับได้เพียง3 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 538 และแม้ในสัญญาเช่าข้อที่ 3 ระบุไว้ว่า"เมื่อได้ชำระค่าเช่าครบแล้วเจ้าของที่จะจัดให้จดทะเบียนสัญญาเช่าและค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจดทะเบียนการเช่าว่านี้ให้ผู้เช่าจ่าย"ก็ตามก็ไม่มีสิทธิบังคับผู้ให้เช่าให้ไปจดทะเบียนได้ ฉะนั้นการที่โจทก์ทั้งสี่ไม่จดทะเบียนการเช่าให้จำเลยร่วม จะถือว่าโจทก์ทั้งสี่ผิดสัญญาหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ทั้งสี่บอกเลิกสัญญาเช่าซึ่งถือว่าเป็นการเช่าที่ไม่มีกำหนดเวลาเนื่องจาก โจทก์ทั้งสี่ไม่ทักท้วงในการที่จำเลยร่วมอยู่ต่อมาภายหลังสัญญาเช่าสิ้นกำหนดลงตามมาตรา 566 และ 570 แล้ว สัญญาเช่าดังกล่าวย่อมระงับไปโจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยร่วมได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1800/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าไม่จดทะเบียน ผลบังคับใช้ 3 ปี และการบอกเลิกสัญญาเช่าหลังครบกำหนด
สัญญาเช่าที่พิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยร่วมมีกำหนดระยะเวลาการเช่า 30 ปี เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมฟ้องร้องบังคับได้เพียง 3 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 538 แม้สัญญาเช่าระบุว่า เมื่อได้ชำระค่าเช่าครบแล้วเจ้าของที่จะจัดให้จดทะเบียนสัญญาเช่า จำเลยร่วมก็ไม่มีสิทธิบังคับโจทก์ทั้งสี่ให้ไปจดทะเบียนได้ การที่โจทก์ทั้งสี่ไม่จดทะเบียนการเช่าให้จำเลยร่วมจะถือว่าโจทก์ทั้งสี่ผิดสัญญาหาได้ไม่ และเมื่อโจทก์ทั้งสี่บอกเลิกสัญญาเช่าซึ่งถือว่าเป็นการเช่าที่ไม่กำหนดเวลาเนื่องจากโจทก์ทั้งสี่ไม่ทักท้วงในการที่จำเลยร่วมอยู่ต่อมาภายหลังสัญญาเช่าสิ้นกำหนดลงตามมาตรา 566และ 570 แล้ว โดยให้เวลาก่อนฟ้องเกินกว่า 2 เดือน สัญญาเช่าย่อมระงับไป โจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยร่วมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท อาหารผิดมาตรฐาน - ไม่บริสุทธิ์ ศาลฎีกาแก้ไขโทษปรับ/จำคุก
ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ก็ตาม จำเลยก็หยิบยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ แม้ความผิดฐานผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารผิดมาตรฐานตามฟ้องข้อ ก. อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา25(3),60 และความผิดฐานผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารไม่บริสุทธิ์ตามฟ้องข้อ ข. อันเป็นความผิดตามมาตรา 25(1),58 จะเป็นความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดและบทลงโทษแตกต่างกันก็ตาม เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารผิดมาตรฐานและอาหารไม่บริสุทธิ์ตามฟ้องทั้งสองข้อดังกล่าวในวันเดียวกันและอาหารที่ผลิตเพื่อจำหน่ายก็เป็นอาหารกระป๋องซึ่งภายในบรรจุปลาเกล็ดขาวทอดกรอบอย่างเดียวกัน อีกทั้งไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องทั้งสองข้อดังกล่าวด้วยเจตนาต่างกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ไม่ ปัญหาว่าการกระทำผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันรวมทั้งปัญหาว่าศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยสูงเกินสมควรนั้นรวมทั้งปัญหาว่าศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยสูงเกินสมควรนั้นล้วนเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาด้วยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา-ความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวความผิดหลายบท – อาหารผิดมาตรฐานและไม่บริสุทธิ์ – ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาทั้งหมด
ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ก็ตามจำเลยก็หยิบยกขึ้นในชั้นฎีกาได้
แม้ความผิดฐานผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารผิดมาตรฐานตามฟ้องข้อ ก. อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 25 (3), 60 และความผิดฐานผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารไม่บริสุทธิ์ตามฟ้องข้อ ข. อันเป็นความผิดตามมาตรา 25 (1), 58 จะเป็นความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดและบทลงโทษแตกต่างกันก็ตาม เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารผิดมาตรฐานและอาหารไม่บริสุทธิ์ตามฟ้องทั้งสองข้อดังกล่าวในวันเดียวกัน และอาหารที่ผลิตเพื่อจำหน่ายก็เป็นอาหารกระป๋องซึ่งภายในบรรจุปลาเกล็ดขาวทอดกรอบอย่างเดียวกัน อีกทั้งไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องทั้งสองข้อดังกล่าวด้วยเจตนาต่างกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ. มาตรา 90 หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ไม่
ปัญหาว่าการกระทำผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน รวมทั้งปัญหาว่าศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยสูงเกินสมควรนั้น ล้วนเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาด้วยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
แม้ความผิดฐานผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารผิดมาตรฐานตามฟ้องข้อ ก. อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 25 (3), 60 และความผิดฐานผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารไม่บริสุทธิ์ตามฟ้องข้อ ข. อันเป็นความผิดตามมาตรา 25 (1), 58 จะเป็นความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดและบทลงโทษแตกต่างกันก็ตาม เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารผิดมาตรฐานและอาหารไม่บริสุทธิ์ตามฟ้องทั้งสองข้อดังกล่าวในวันเดียวกัน และอาหารที่ผลิตเพื่อจำหน่ายก็เป็นอาหารกระป๋องซึ่งภายในบรรจุปลาเกล็ดขาวทอดกรอบอย่างเดียวกัน อีกทั้งไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องทั้งสองข้อดังกล่าวด้วยเจตนาต่างกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ. มาตรา 90 หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91 ไม่
ปัญหาว่าการกระทำผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน รวมทั้งปัญหาว่าศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยสูงเกินสมควรนั้น ล้วนเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาด้วยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท อาหารผิดมาตรฐานและไม่บริสุทธิ์ ศาลฎีกาแก้โทษจำเลย
ปัญหาที่ว่า การกระทำผิดของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ 2 ก็ยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ ความผิดฐานผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารผิดมาตรฐาน อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25(3),60และความผิดฐานผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารไม่บริสุทธิ์ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25(1),58 เป็นความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดและบทลงโทษแตกต่างกัน แต่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยผลิตเพื่อจำหน่ายซึ่งอาหารผิดมาตรฐานและอาหารไม่บริสุทธิ์ในวันเดียวกัน และอาหารที่ผลิตเพื่อจำหน่ายก็เป็นอาหารกระป๋องซึ่งภายในบรรจุปลาเกล็ดขาวทอดกรอบอย่างเดียวกันอีกทั้งไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดทั้งสองข้อหาด้วยเจตนาต่างกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปัญหาว่าการกระทำผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาให้มีผลตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1721/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คชำระหนี้ค่าสินค้าล่าช้า ดอกเบี้ยตามตกลงไม่ขัดกฎหมาย การคำนวณโทษจำคุก
จำเลยทั้งสองออกเช็คชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์ เช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยทั้งสองจึงออกเช็คพิพาทให้โจทก์ใหม่แทนฉบับเดิมโดยสั่งจ่ายเพิ่มขึ้นจากหนี้เดิมในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ถือว่ามูลหนี้ตามเช็คไม่ใช่หนี้กู้ยืมเงิน จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนดมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อออกเช็คพิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดชำระหนี้เดิม โจทก์จึงมีสิทธิคิดค่าเสียหายจากการชำระหนี้ล่าช้าได้ และจำเลยทั้งสองยินยอมโดยออกเช็คพิพาทฉบับใหม่แก่โจทก์มูลหนี้ตามเช็คพิพาทจึงสมบูรณ์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ในกรณีที่กำหนดโทษจำคุกเป็นเดือน เมื่อรวมถึง 12 เดือน ให้คิดเป็นจำนวนวัน 360 วัน มิใช่ถือเป็น 1 ปี เพราะจำนวนวันจำคุกจะคิดได้ถึง 365 หรือ 366 วัน ย่อมเป็นผลร้ายแก่จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1713/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับพยานหลักฐานขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 90 แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับได้ตาม มาตรา 87(2)
ใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยการครอบครองหรือไม่ แม้โจทก์จะมิได้ส่งให้แก่จำเลยซึ่งสำเนาเอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลจึงชอบที่จะให้รับเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ตาม มาตรา 87(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนทางอาญา: การประเมินภยันตรายและความเหมาะสมของการป้องกัน
แม้ลักษณะบาดแผลตามคำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาจะต่างกับรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ แต่ได้ความว่าผู้เสียหายและ ข. ได้บุกรุกขึ้นมาบนบ้านจำเลย ผู้เสียหายได้กระทำอนาจาร ส.ส. ร้องให้จำเลยช่วยเหลือพอจำเลยลุกขึ้นจากที่นอนก็ถูก ข.ใช้ขวดสุราตีจนจำเลยล้มลงไปอีก จำเลยจึงใช้ขวานฟันไปทันที 1 ครั้ง ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันตนและบุตรสาวของตนให้พ้นจากภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายพอสมควรแก่เหตุ ทั้งมิใช่เป็นเรื่องบันดาลโทสะ เพราะขณะที่จำเลยได้กระทำลงไปนั้นจำเลยก็ดีบุตรสาวของจำเลยก็ดี ยังไม่พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำของผู้เสียหายและ ข..
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองที่ดินด้วยใจสมัคร & การนำสืบเอกสารประกอบการจำนอง ศาลรับฟังได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงให้โจทก์ทำสัญญาจำนองไว้แก่จำเลย จำเลยให้การว่าจำเลยรับโอนสิทธิเรียกร้องมาจาก ช.ซึ่งโจทก์เป็นหนี้เงินกู้ ช. อยู่ จำเลยจึงนำสืบตามคำให้การของตนได้ และเป็นการนำสืบอธิบายที่มาของหนี้ตามสัญญาจำนองมิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารที่ต้องห้ามตามกฎหมาย หนังสือสัญญากู้ที่เป็นเพียงพยานหลักฐานที่อ้างถึงความเป็นมาของสัญญาจำนองว่ามีหนี้เดิมกันอยู่จริง และจำเลยมิได้ฟ้องให้โจทก์รับผิดตามสัญญากู้โดยตรง แม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ โจทก์จำนองที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลย โดยโจทก์ยินยอมให้เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้จาก ช. มาเป็นจำเลย การทำสัญญาจำนองจึงไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้องที่จะต้องมีการทำเป็นหนังสืออีกต่างหาก