คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนัด หมายสวัสดิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 289 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3365/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาล: ไม่อาจใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบังคับใช้ในคดีอาญา
การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมีบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 วรรคแรก จึงจะนำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ มาอนุโลมบังคับใช้หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3365/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต้องผ่านศาลอุทธรณ์ก่อน ไม่สามารถอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาโดยตรงได้
การอุทธรณ์คำพิพากษา หรือคำสั่งศาลชั้นต้นในข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายมีบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ วรรคแรก แล้วว่าให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ จึงจะนำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ มาอนุโลม บังคับใช้หาได้ไม่ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ยกฟ้องของศาลชั้นต้นโดยตรงมายังศาลฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3194/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท สิทธิเจ้าของที่ดินต้องฟังตามข้อเท็จจริง การแจ้งความไม่ถือเป็นการแย่งการครอบครอง
แม้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมาจากมารดาโจทก์ก็ตาม แต่ด้วยผลของกฎหมายคงสันนิษฐานได้แต่เพียงว่าจำเลยมีเพียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น การที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎ
แม้จำเลยจะแจ้งความกล่าวหาโจทก์ว่าบุกรุกที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ก็ตาม แต่จำเลยก็ยังมิได้เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทไปจากโจทก์ เมื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตลอดถึงวันฟ้อง โจทก์จึงไม่หมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3194/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน แม้ชื่อใน น.ส.3ก.ผิดพลาด การครอบครองต่อเนื่องมีน้ำหนักกว่า
โจทก์ซื้อที่ดินจาก ส. แล้วเป็นผู้เข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาแม้โจทก์จะระบุเลขที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ลงในหนังสือสัญญาซื้อขายผิดพลาดเป็นที่ดินแปลงอื่นไป และจำเลยเป็นผู้มีชื่อรับโอนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทางทะเบียน ก็ไม่ทำให้สิทธิครอบครองของโจทก์ในที่ดินต้องเสียไป ที่ดินที่มีเพียง น.ส.3 ก. ไม่อาจนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคสอง มาปรับใช้ได้ จำเลยแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจกล่าวหาโจทก์ว่าบุกรุกที่ดินน.ส.3 ก. อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ แต่จำเลยก็ยังมิได้เข้าไปครอบครองที่ดิน จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินไปจากโจทก์เมื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินมาตลอดถึงวันฟ้องโจทก์จึงไม่หมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3194/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดิน: การครอบครองต่อเนื่องและการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ
แม้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะระบุชื่อจำเลยเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมาจากมารดาโจทก์ก็ตาม แต่ด้วยผลของกฎหมายคงสันนิษฐานได้แต่เพียงว่าจำเลยมีเพียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น การที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎ แม้จำเลยจะแจ้งความกล่าวหาโจทก์ว่าบุกรุกที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ก็ตาม แต่จำเลยก็ยังมิได้เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทไปจากโจทก์ เมื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตลอดถึงวันฟ้อง โจทก์จึงไม่หมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2992/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนโอนที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการยกเว้นการวินิจฉัยเรื่องอายุความเนื่องจากคำให้การไม่ชัดเจน
จำเลยให้การเพียงว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความที่จะฟ้องร้องเพื่อขอเพิกถอนนิติกรรม จำเลยไม่ได้ให้การอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามบทกฎหมายใด ในเรื่องใด เหตุใดฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความรวมทั้งเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใด เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองจึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2992/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การขาดอายุความ – ไม่ชัดแจ้ง – ไม่เป็นประเด็น
จำเลยให้การเพียงว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความที่จะฟ้องร้องเพื่อขอเพิกถอนนิติกรรม จำเลยไม่ได้ให้การอ้างเหตุว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามบทกฎหมายใด ในเรื่องใด เหตุใดฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ รวมทั้งเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใด เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา177 วรรคสอง จึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2825/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบ, ฟ้องไม่เคลือบคลุม, และดอกเบี้ยทบต้นในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี
จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่กำหนดหน้าที่นำสืบไม่ถูกต้อง ขอให้ทำการชี้สองสถานและกำหนดหน้าที่นำสืบใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จำเลยทั้งสองไม่โต้แย้งคำสั่ง ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจนเสร็จสำนวนและพิพากษาคดีแล้ว จึงอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งในเรื่องหน้าที่นำสืบนี้อีกไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)และ 247 คำฟ้องกล่าวว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ได้เบิกเงินเกินบัญชีหลายครั้ง และนำเงินเข้าหักทอนบัญชีตลอดมา คงเป็นหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้องแล้วผิดสัญญาขอให้บังคับชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา คำฟ้องดังกล่าวจึงแสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ส่วนวิธีการคำนวณดอกเบี้ยจากต้นเงินและวันเดือนปีใดแม้โจทก์จะมิได้บรรยายไว้ ก็เป็นเรื่องรายละเอียดซึ่งโจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม หลังจากครบกำหนดสัญญาแล้ว จำเลยทั้งสองยังคงเบิกเงินเกินบัญชีและนำเงินเข้าหักทอนบัญชีกับโจทก์ต่อไป เป็นการต่ออายุสัญญาออกไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาจนกว่าโจทก์หรือจำเลยทั้งสองจะบอกเลิกสัญญาโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปจนถึงวันบอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2825/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบ & ความชัดเจนของฟ้อง: การที่ศาลไม่อนุญาตให้แก้ไขหน้าที่นำสืบหลังการสืบพยาน และฟ้องไม่เคลือบคลุม
จำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่กำหนดหน้าที่นำสืบไม่ถูกต้อง ขอให้ทำการชี้สองสถานและกำหนดหน้าที่นำสืบใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต จำเลยทั้งสองไม่โต้แย้งคำสั่ง ศาลชั้นต้นดำเนินการ-สืบพยานจนเสร็จสำนวนและพิพากษาคดีแล้ว จึงอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งในเรื่องหน้าที่-นำสืบนี้อีกไม่ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (2) และ 247
คำฟ้องกล่าวว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ได้เบิกเงินเกินบัญชีหลายครั้ง และนำเงินเข้าหักทอนบัญชีตลอดมา คงเป็นหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้องแล้วผิดสัญญา ขอให้บังคับชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา คำฟ้องดังกล่าวจึงแสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ส่วนวิธีการคำนวณดอกเบี้ยจากต้นเงินและวันเดือนปีใดแม้โจทก์จะมิได้บรรยายไว้ ก็เป็นเรื่องรายละเอียดซึ่งโจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
หลังจากครบกำหนดสัญญาแล้ว จำเลยทั้งสองยังคงเบิกเงิน-เกินบัญชี และนำเงินเข้าหักทอนบัญชีกับโจทก์ต่อไป เป็นการต่ออายุสัญญาออกไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาจนกว่าโจทก์หรือจำเลยทั้งสองจะบอกเลิกสัญญา โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปจนถึงวันบอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2805/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการนำข้อเท็จจริงจากคดีอาญามาใช้ในคดีแพ่ง: คดีอาญาไม่ถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และผู้ร้องเป็นคดีอาญาข้อหาโกงเจ้าหนี้คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เมื่อคดีนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล-อุทธรณ์ ยังไม่ถึงที่สุด จึงฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาผูกมัดในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งนี้ไม่ได้
of 29