คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนัด หมายสวัสดิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 289 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืนหนังสือค้ำประกันด้วยกลอุบายหลอกลวง ไม่ถือเป็นการปลดหนี้ค้ำประกัน
การที่จำเลยที่ 3 ได้รับหนังสือค้ำประกันสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 3 ทำประกันไว้ต่อโจทก์คืนนั้นเป็นเพราะถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้อุบายหลอกลวงจึงมิใช่เป็นการที่โจทก์ปลดหนี้ค้ำประกันให้แก่จำเลยที่ 3ด้วยการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืนหนังสือค้ำประกันไม่ใช่การปลดหนี้ หากเกิดจากการถูกหลอกลวงให้มอบเอกสารคืน
การที่จำเลยที่ 3 ได้รับหนังสือค้ำประกันสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 3 ทำประกันไว้ต่อโจทก์คืน เป็นเพราะโจทก์ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งระบุว่า เมื่อเช็คชำระหนี้จำนวนเงิน 4,000,000บาท ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ออกชำระหนี้ให้โจทก์ถึงกำหนดชำระให้โจทก์นำเช็คพร้อมหนังสือค้ำประกันของจำเลยที่ 3 ไปเปลี่ยนเป็นแคชเชียร์เช็คของจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ถูกจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ใช้อุบายหลอกลวงขอรับหนังสือค้ำประกันไป แต่ไม่ได้มอบแคชเชียร์เช็คให้ตามข้อตกลง หาใช่เป็นการที่โจทก์ปลดหนี้ค้ำประกันให้แก่จำเลยที่ 3ด้วยการเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ไม่ แม้จำเลยที่ 3จะไม่ได้รู้เห็นกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 หลอกลวงโจทก์ตลอดจนถึงข้อตกลงให้ไปแลกแคชเชียร์เช็คก็ตาม หาใช่เป็นการที่โจทก์แสดงเจตนาต่อจำเลยที่ 3 ว่าจะปลดหนี้ให้ หนี้ของจำเลยที่ 1ยังมิได้ระงับสิ้นไป จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยในวงเงินไม่เกิน4,000,000 บาท แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมรับผลการรังวัดที่ดินตามข้อตกลง การปฏิบัติตามเงื่อนไขการท้าพิสูจน์ และผลผูกพันทางกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินตามฟ้องจำเลยให้การว่าบ้านพิพาทปลูกอยู่บนที่สาธารณะชายทะเลห่างจากแนวเขตที่ดินตามฟ้องประมาณ 10 วา โจทก์จำเลยตกลงท้ากันว่า ให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดแนวเขตที่ดินตามฟ้อง หากปรากฎว่าบ้านพิพาทอยู่ในแนวเขตที่ดินดังกล่าว จำเลยยอมแพ้ หากอยู่นอกเขตโจทก์ยอมแพ้ ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดและทำแผนที่พิพาทตามที่โจทก์จำเลยนำชี้แนวเขตที่ดินตามฟ้องตรงกันโดยมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงยืนยันแนวเขตถูกต้อง ได้ความว่าบ้านพิพาทอยู่ในที่ดินตามฟ้อง จึงทำหนังสือพร้อมแนบแผนที่พิพาทส่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์จำเลยตรวจดู จำเลยตรวจดูเอกสารดังกล่าวแล้วลงลายมือชื่อโดยไม่ได้โต้แย้งข้อความในหนังสือและแผนที่พิพาทว่าไม่ถูกต้อง ถือได้ว่าจำเลยยอมรับว่าแผนที่พิพาทที่เจ้าพนักงานที่ดินทำขึ้นนั้นถูกต้องอันเป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คู่ความตกลงท้ากันครบถ้วนแล้ว ศาลต้องพิพากษาคดีไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎนั้น จำเลยจะอ้างว่าเนื้อที่ดินที่เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดนั้นเกินไปกว่าจำนวนที่ดินจริงตาม น.ส.3 ก. ของที่ดินตามฟ้องหาได้ไม่ เพราะน.ส.3 ก.ของที่ดินตามฟ้องมีเนื้อที่เท่าใดไม่เป็นประเด็นในคำท้า เมื่อปรากฎว่าบ้านพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามฟ้องจำเลยจึงต้องแพ้คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงท้าพิสูจน์แนวเขตที่ดินมีผลผูกพัน เมื่อผลการรังวัดยืนยันตามข้อตกลง จำเลยต้องแพ้คดี
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินตามฟ้องจำเลยให้การว่าบ้านพิพาทปลูกอยู่บนที่สาธารณะชายทะเลห่างจากแนวเขตที่ดินตามฟ้องประมาณ 10 วา โจทก์จำเลยตกลงท้ากันว่าให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดแนวเขตที่ดินตามฟ้อง หากปรากฏว่าบ้านพิพาทอยู่ในแนวเขตที่ดินดังกล่าว จำเลยยอมแพ้ หากอยู่นอกเขตโจทก์ยอมแพ้ ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดและทำแผนที่พิพาทตามที่โจทก์จำเลยนำชี้แนวเขตที่ดินตามฟ้องตรงกันโดยมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงยืนยันแนวเขตถูกต้อง ได้ความว่าบ้านพิพาทอยู่ในที่ดินตามฟ้อง จึงทำหนังสือพร้อมแนบแผนที่พิพาทส่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์จำเลยตรวจดู จำเลยตรวจดูเอกสารดังกล่าวแล้วลงลายมือชื่อโดยไม่ได้โต้แย้งข้อความในหนังสือและแผนที่พิพาทว่าไม่ถูกต้องถือได้ว่าจำเลยยอมรับว่าแผนที่พิพาทที่เจ้าพนักงานที่ดินทำขึ้นนั้นถูกต้อง อันเป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คู่ความตกลงท้ากันครบถ้วนแล้ว ศาลต้องพิพากษาคดีไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นจำเลยจะอ้างว่าเนื้อที่ดินที่เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดนั้นเกินไปกว่าจำนวนที่ดินจริงตาม น.ส.3 ก. ของที่ดินตามฟ้องหาได้ไม่ เพราะน.ส.3 ก. ของที่ดินตามฟ้องมีเนื้อที่เท่าใดไม่เป็นประเด็นในคำท้าเมื่อปรากฏว่าบ้านพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามฟ้องจำเลยจึงต้องแพ้คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษและการจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ซึ่งระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยในข้อหาดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์โทษจำคุกที่ไม่รอการลงโทษในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง ซึ่งเป็นข้อหาที่มีอัตราโทษจำกัดและจำเลยไม่ได้อุทธรณ์
ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรก มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ให้การลงโทษเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ข้อหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในข้อหาดังกล่าวมาโดยไม่รอการลงโทษจำเลยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 625/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าต่างตอบแทนผูกพันผู้รับโอนเมื่อยินยอมปฏิบัติตามสัญญาเดิมเท่านั้น
สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาเป็นเพียงบุคคลสิทธิใช้บังคับกันได้เฉพาะแต่ในระหว่างคู่สัญญา จะผูกพันโจทก์ผู้รับโอนตึกพิพาทต่อเมื่อโจทก์ได้ตกลงยินยอมเข้าผูกพันตนที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นแทนผู้ให้เช่าเดิม อันเป็นการตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก ซึ่งจะทำให้บุคคลภายนอกคือจำเลยผู้เช่ามีสิทธิเรียกร้องชำระหนี้จากโจทก์ผู้รับโอนได้โดยตรงตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ตกลงยินยอมเช่นนั้น แม้หากฟังได้ว่าสัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนและโจทก์รู้ถึงข้อตกลงดังกล่าวตามที่จำเลยต่อสู้สัญญาดังกล่าวก็ไม่ผูกพันโจทก์ในอันที่จะต้องยินยอมให้จำเลยเช่าตึกพิพาทต่อไปแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 625/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งคดีไม่มีทุนทรัพย์และการผูกพันสัญญาต่างตอบแทนต่อผู้รับโอน
ฟ้องและฟ้องแย้งจะต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ต้องพิจารณาแยกเป็นประเด็นในแต่ละคดีไป
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากตึกแถวพิพาทอันมีค่าเช่าเดือนละ 150 บาท และเรียกค่าเสียหายเดือนละ 2,500 บาท ค่าเสียหายนี้ไม่ใช่ค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องตามความหมายของ ป.วิ.พ. มาตรา 224 (เดิม)
จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าและขอให้เพิกถอนนิติกรรม เป็นคำฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แม้มีคำขอให้โจทก์โอนขายตึกแถวพิพาทให้ซึ่งเป็นการฟ้องเรียกเอาทรัพย์สินมาเป็นของจำเลยอันเป็นคดีมีทุนทรัพย์รวมมาด้วย คดีที่จำเลยฟ้องแย้งก็ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาท จำเลยไม่โต้แย้งคัดค้าน เท่ากับยอมสละประเด็นข้ออื่นที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบ เมื่อจำเลยฎีกาขึ้นมา โดยยกประเด็นตามที่ได้อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยแล้ว และข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบมาเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีไปได้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไปเสียทีเดียวได้ โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาเป็นเพียงบุคคลสิทธิใช้บังคับกันได้เฉพาะแต่ในระหว่างคู่สัญญา จะผูกพันโจทก์ผู้รับโอนตึกแถวพิพาทต่อเมื่อโจทก์ตกลงยินยอมเข้าผูกพันตนที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นแทนผู้ให้เช่าเดิม อันเป็นการตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอก ซึ่งจะทำให้บุคคลภายนอกคือจำเลยผู้เช่ามีสิทธิเรียกร้องชำระหนี้จากโจทก์ผู้รับโอนได้โดยตรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 374

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 611/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม เหตุแก้ไขโทษเล็กน้อยและโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลย 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษหนึ่งในสี่คงจำคุก 3 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 218 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเคลื่อนย้ายทรัพย์สินสำเร็จถือเป็นความผิดลักทรัพย์
การที่เครื่องยนต์สูบน้ำถูกยกจากรถไถมาวางอยู่กับพื้น เป็นการพาทรัพย์เคลื่อนที่ไปแล้ว จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปเป็นความผิดลักทรัพย์สำเร็จ
of 29