คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุทธิ นิชโรจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,157 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 779/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินงอกริมตลิ่ง แม้ติดทางน้ำสาธารณะ เจ้าของที่ดินเดิมยังมีสิทธิออกโฉนดได้
แม้จะเกิดที่งอกริมตลิ่งเข้าไปในทางน้ำสาธารณะอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินใช้ประโยชน์เพื่อการชลประทานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) ก็ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ซึ่งตกได้แก่เจ้าของที่ดินที่เกิดที่งอกนั้นเปลี่ยนแปลงไป เจ้าของที่ดินที่เกิดที่งอกย่อมนำไปขอออกโฉนดที่ดินได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีป่าไม้: การบรรยายฟ้องไม่ชัดเจนและโทษจำคุกต่ำกว่าขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีไม้ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง ปรากฎว่าโจทก์บรรยายการกระทำผิด ในข้อหานี้มาในคำฟ้อง แต่ในคำขอท้าย ฟ้องโจทก์มิได้อ้างบท มาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484ซึ่งบัญญัติ ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ฉะนั้นจะถือว่าโจทก์ ได้ขอให้ลงโทษในข้อหามีไม้ยังมิได้แปรรูปไวในครอบครองแล้วได้ไม่ กรณีจึงต้องยกฟ้องข้อหานี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 เดือน ฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้ รับอนุญาต เมื่อพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 48,73 วรรคสอง มีอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำ 1 ปีที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาจึงเป็นการลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ และฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเพิ่มขึ้น ศาลฎีกาลงโทษจำคุก จำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีป่าไม้: การขอลงโทษตามบทมาตราที่มิได้ระบุในคำขอท้ายฟ้อง และการแก้ไขโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีไม้ที่ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองแต่คำขอท้ายฟ้องมิได้อ้างมาตรา 69 แห่ง พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 อันบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด จึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษในข้อหานั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 เดือน ฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48,73วรรคสอง อันเป็นการลงโทษต่ำกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และฎีกาขอให้ลงโทษเพิ่มขึ้น ศาลฎีกาจึงลงโทษจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดหุ้นที่ราคาต่ำกว่าตลาดอย่างมากถือเป็นการหลงผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ทำให้การขายนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การขายทอดตลาดหุ้นบริษัท อ. มีผู้เข้าประมูลสู้ราคากันหลายรายรวมทั้งตัวแทนโจทก์ด้วย การดำเนินการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ส่อพฤติการณ์ทุจริต แต่ปรากฏว่าบริษัท อ. ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นจากหุ้นละ 100 บาท เป็นหุ้นละ 10 บาท หุ้นของจำเลยจำนวน 1,000 หุ้นจึงแตกออกเป็น 10,000 หุ้น ซึ่งราคาหุ้นที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันขายทอดตลาดมีราคาหุ้นละ 98.50 บาท ฉะนั้นราคาหุ้นพิพาทตามราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ขายทอดตลาดเป็นเงิน 985,000 บาท แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายให้ผู้คัดค้านทั้งห้าในราคา 152,000 บาท ซึ่งหากเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบราคาหุ้นทั้งหมดก็จะไม่อนุมัติให้ขาย จึงถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายหุ้นพิพาทโดยหลงผิด เนื่องจากไม่รู้ราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งการที่ขายทอดตลาดหุ้นพิพาทต่างจากราคาในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากเช่นนี้ จำเลยย่อมเสียหายต่อการชำระหนี้ จึงให้เพิกถอนการขายทอดตลาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการขายทอดตลาดหุ้นเนื่องจากราคาขายต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก ทำให้เจ้าหนี้เสียหาย
แม้ว่าการขายทอดตลาดหุ้นของบริษัท อ. มีผู้เข้าประมูลสู้ราคากันหลายรายรวมทั้งตัวแทนโจทก์ก็เข้าประมูล สู้ราคาด้วย ซึ่งแสดงว่าการดำเนินการขายทอดตลาดของ เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ส่อพฤติการณ์ ทุจริตก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าบริษัท อ. จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นจากหุ้นละ 100 บาท เป็นหุ้นละ 10 บาท หุ้นของจำเลย 1,000 หุ้น จึงแตกออกเป็น 10,000 หุ้น และมี ราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ ขายทอดตลาดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 985,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคา ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายให้แก่ผู้คัดค้านในราคา 152,000 บาทอย่างมาก เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดียอมรับว่าหากในขณะที่ประมูลซื้อขายกันตนทราบว่าหุ้นทั้งหมดมีราคาประมาณ 900,000 บาท ก็จะไม่อนุมัติให้ขาย กรณีจึงถือได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดี ขายหุ้นพิพาทไปโดยหลงผิด ทำให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตาม คำพิพากษาเสียหาย ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ที่โจทก์จะร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เพิกถอนการขายทอดตลาดหุ้น: เจ้าพนักงานบังคับคดีหลงผิดเรื่องราคาหุ้น
แม้ว่าการขายทอดตลาดหุ้นของบริษัท อ. มีผู้เข้าประมูลสู้ราคากันหลายรายรวมทั้งตัวแทนโจทก์ก็เข้าประมูลสู้ราคาด้วย ซึ่งแสดงว่าการดำเนินการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ส่อพฤติการณ์ทุจริตก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าบริษัท อ.จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นจากหุ้นละ100 บาท เป็นหุ้นละ 10 บาท หุ้นของจำเลย 1,000 หุ้น จึงแตกออกเป็น10,000 หุ้น และมีราคาที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ขายทอดตลาดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 985,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายให้แก่ผู้คัดค้านในราคา 152,000 บาท อย่างมาก เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดียอมรับว่าหากในขณะที่ประมูลซื้อขายกันตนทราบว่าหุ้นทั้งหมดมีราคาประมาณ900,000 บาท ก็จะไม่อนุมัติให้ขาย กรณีจึงถือได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายหุ้นพิพาทไปโดยหลงผิด ทำให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเสียหาย ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ที่โจทก์จะร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนายักยอกเงิน - ยินยอมให้ใช้เงินก่อนแล้วคืนภายหลัง ไม่ถือเป็นความผิดอาญา
จำเลยเป็นพนักงานทำหน้าที่เหรัญญิกและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของโจทก์ร่วม จำเลยรับเงินจำนวน 20,000 บาท จาก ท. ซึ่งนำมาวางค้ำประกันการเข้าทำงานกับโจทก์ร่วม แต่จำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวโดยไม่นำเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมตามคำสั่งของส.หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ร่วมเมื่อส. สอบถามจำเลยจำเลยก็แจ้งให้ทราบว่าขอเอาไปใช้ก่อนเพราะครอบครัวเดือดร้อนและจะนำมาคืนให้สิ้นเดือนมีนาคม 2532 ส. มิได้ดำเนินการอะไรเมื่อถึงกำหนดจำเลยผิดนัด ส. ก็ยังกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินมาคืนภายในวันที่ 29 เมษายน 2532 ครั้งถึงกำหนดจำเลยยังไม่นำเงินมาคืนอีกและจะออกจากงาน ส. ก็ขอร้องให้จำเลยทำงานต่อไปจนกระทั่งวันที่ 2 พฤษภาคม 2532 จำเลยไม่มาทำงาน ในวันที่ 13มิถุนายน 2532 ส. จึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ตามพฤติการณ์จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมยินยอมให้จำเลยนำเงินจำนวน 20,000 บาทไปใช้ก่อนแล้วเอามาคืนให้ครบจำนวนภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้การที่จำเลยผิดนัดไม่นำเงินมาคืนให้โจทก์ร่วมและต่อสู้ว่าไม่ได้เอาเงินจำนวนดังกล่าวไป ก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จึงเป็นเรื่องที่จะกล่าวกันทางแพ่งไม่เป็นความผิดอาญาฐานยักยอก ดังนี้ พนักงานอัยการจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินจำนวน 20,000 บาท คืนให้ผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนายักยอกทรัพย์ – การยินยอมให้ใช้เงินก่อนแล้วผิดนัด – ไม่ถึงขั้นความผิดอาญา
จำเลยเป็นพนักงานทำหน้าที่เหรัญญิกและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของโจทก์ร่วม จำเลยรับเงินจำนวน 20,000 บาท จาก ท. ซึ่งนำมาวางค้ำประกันการเข้าทำงานกับโจทก์ร่วม แต่จำเลยนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวโดยไม่นำเข้าบัญชีของโจทก์ร่วมตามคำสั่งของ ส. หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ร่วมเมื่อ ส. สอบถามจำเลย จำเลยก็แจ้งให้ทราบว่าขอเอาไปใช้ก่อนเพราะครอบ-ครัวเดือดร้อนและจะนำมาคืนให้สิ้นเดือนมีนาคม 2532 ส. มิได้ดำเนินการอะไรเมื่อถึงกำหนดจำเลยผิดนัด ส. ก็ยังกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินมาคืนภายในวันที่ 29 เมษายน 2532 ครั้งถึงกำหนดจำเลยยังไม่นำเงินมาคืนอีกและจะออกจากงาน ส. ก็ขอร้องให้จำเลยทำงานต่อไป จนกระทั่งวันที่ 2 พฤษภาคม 2532จำเลยไม่มาทำงาน ในวันที่ 13 มิถุนายน 2532 ส. จึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ตามพฤติการณ์จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมยินยอมให้จำเลยนำเงินจำนวน20,000 บาท ไปใช้ก่อนแล้วเอามาคืนให้ครบจำนวนภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้การที่จำเลยผิดนัดไม่นำเงินมาคืนให้โจทก์ร่วมและต่อสู้ว่าไม่ได้เอาเงินจำนวนดังกล่าวไป ก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะยักยอกเงินของโจทก์ร่วม จึงเป็นเรื่องที่จะกล่าวกันทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดอาญาฐานยักยอก ดังนี้ พนักงานอัยการจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินจำนวน 20,000 บาท คืนให้ผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องล้มละลาย: เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องแม้หนี้ยังไม่ถึงกำหนด หากมีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีหนี้โจทก์เกินห้าหมื่น
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาทจึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดจำเลยชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านตามประเด็นดังกล่าวหรืออุทธรณ์ฎีกาว่าจำเลยอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายตามความใน พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14แต่จำเลยกลับอุทธรณ์ฎีกาว่าได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องก่อนเช็คถึงกำหนด การที่โจทก์ยอมรับเช็คดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ยอมขยายระยะเวลาในการชำระหนี้ให้จำเลยแล้วและทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าขณะที่โจทก์ฟ้อง จำเลยตกเป็นลูกหนี้ผู้ใดอีก ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นที่จำเลยฎีกาก็ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป เพราะแม้จำเลยจะเป็นหนี้โจทก์เพียงคนเดียว แต่เมื่อหนี้มีจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท และหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระก็ตาม โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้ตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 9 ฎีกาของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหากอ้างกรรมสิทธิ์เดิม
เมื่อโจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองเสียแล้ว แม้โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องมุ่งเรื่องการครอบครองปรปักษ์และขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ แต่การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จะต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นดังนั้น ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเองได้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
of 116